ปัตตานี - ศาลจังหวัดปัตตานี สั่งพิพากษาจำคุก 5 ผู้ต้องหาคดีลอบวางระเบิดทหารพรานดับ 4 ศพ จากเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4412 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 ใน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2560
วันนี้ (1 ก.พ.) ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พ.อ.ธนาวีร์ สุวรรณรัตน์ รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากกรณีคนร้ายลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4412 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 เป็นเหตุทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต 4 นาย เหตุเกิดในพื้นที่ถนนสายเจาะกือแย-สายบุรี หมู่ 1 ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2560 หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยได้ จำนวน 5 ราย ได้ส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว
ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดปัตตานี (ชั้นต้น) ได้มีคำสั่งพิพากษาคดีดำหมายเลขที่ 4445/60 จากเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4412 ในฐานความผิดก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ฆ่าและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่โดยไต่ตรองไว้ก่อน พ.ร.บ.อาวุธปืน และวัตถุระเบิด โดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 5 ราย คือจำเลยที่ 1 นายมะยูโซ๊ะ มะยะเด็ง จำเลยที่ 2 นายอามีน เฮาะยา จำเลยที่ 3 นายมาหะมะซอรี สะแม จำเลยที่ 4 นายอานัส อาแด และจำเลยที่ 5 นายอับดุลปาตัช สามะ มีผลคำสั่งพิพากษาของศาลจังหวัดปัตตานี (ชั้นต้น) ดังนี้
จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 พิพากษาให้ประหารชีวิต แต่ทั้ง 3 คน ได้รับสารภาพในชั้นซักถาม และเป็นการประโยชน์ต่อรูปคดี จึงลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ “จำคุกตลอดชีวิต” ส่วนจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ศาลพิพากษาให้จำคุก 31 ปี แต่ทั้ง 2 คน ได้รับสารภาพในชั้นซักถาม และเป็นการประโยชน์ต่อรูปคดี จึงลดโทษเหลือ “จำคุก 14 ปี”
ผลสรุปการดำเนินคดีดังกล่าว ได้มีการออกหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 18 หมาย ผู้ต้องหาถูกวิสามัญ 2 ราย และสามารถจับกุมได้ 7 ราย ศาลพิพากษาลงโทษ 5 ราย อยู่ระหว่างสืบพยาน 1 ราย คือ นายมะรอตือปี กาแปะ ส่วนอีก 1 ราย คือ นายฟัครุดดีน อูมา ศาลยกฟ้อง
ผลจากคำพิพากษาดังกล่าว เป็นไปตามพยานหลักฐาน และลักษณะฐานความผิด และเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายมุ่งบังคับใช้กฎหมายด้วยความรอบคอบ รวบรวมพยานหลักฐานอย่างรัดกุม เพื่อนำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนนำไปสู่คำพิพากษาดังกล่าว
ทั้งนี้ ยังได้ติดตามผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญต่อหลักการบังคับใช้กฎหมายด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และปฏิบัติทุกขั้นตอนของการบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดเป็นเงื่อนไขใหม่ที่อาจจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการแก้ไขปัญหามากยิ่งขึ้น