คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
“หน่วยข่าวความมั่นคง” และ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องหาข้อเท็จจริงและทำเรื่องนี้ให้เป็นที่ประจักษ์ เพราะถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือเรื่องที่ “อาร์เคเค” ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็นฯ” บุกเข้าไปทำร้ายพระสงฆ์ในวัดรัตนานุภาพ บ้านโคกโก ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส จนเป็นเหตุให้พระ 2 รูป มรณภาพ และอีก 2 รูป บาดเจ็บจากการปฏิบัติการครั้งนี้
สิ่งที่ติดตามมาจากปฏิบัติการสังหารโหดต่อพระสงฆ์ของบีอาร์เอ็นฯ หนนี้จึงคือ การสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจและสุดที่จะโกรธแค้นให้แก่ “คนไทยพุทธ” ทั้งประเทศ โดยเฉพาะคนไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับความสูญเสียอย่างยาวนานถึงกว่า 15 ปี และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 6,000 คน โดยในจำนวนนั้นมีพระภิกษุสงฆ์ต้องมีอันมรณภาพไปด้วยถึง 21 รูป และบาดเจ็บอีกถึง 27 รูป
จึงไม่แปลกที่ความโกรธและความเจ็บช้ำน้ำใจที่ได้รับจึงถูกแปรเป็น “แค้นฝังหุ่น” สังคมจึงได้เห็นปฏิกิริยาของคนไทยพุทธจำนวนใหญ่ที่ออกมาแสดงความรู้สึกต่อสาธารณะ โดยเฉพาะการรับไม่ได้ต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการโต้ตอบต่อ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” หรือให้ใช้ความรุนแรงเพื่อการตอบโต้ความรุนแรง
ดังนั้น เมื่อ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 แสดงความเห็นทำนองว่า ขออย่าให้ชาวไทยพุทธในพื้นที่ใช้ความรุนแรงตอบโต้กลับ เพราะการใช้ความรุนแรงจะเป็นการ “ตกหลุมพราง” ที่บีอาร์เอ็นฯ เจตนาขุดล่อเอาไว้ พลันสิ้นเสียงการแสดงความคิดเห็นดังกล่าว แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ถูกแปลงร่างเป็น “หมู่บ้านกระสุนตก” ในเวลารวดเร็ว โดยเฉพาะจากฝ่ายคนไทยพุทธที่ไม่เห็นด้วย
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่แม่ทัพภาคที่ 4 นำเสนอเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพียงแต่อาจจะไม่ถูกใจกลุ่มคนไทยพุทธจำนวนมากที่อยู่ในอารมณ์ของความเจ็บช้ำและโกรธแค้นเท่านั้น ดังนั้น เมื่อเกิดความสูญเสียก็ต้องหาทางแก้ไข แต่การแก้ไขต้องไม่ใช่เอาความแค้นเป็นที่ตั้ง ต้องไม่ใช่การใช้ความรุนแรงปฏิบัติการตอบโต้ เพราะหลังโจรใต้ลงมือปฏิบัติการเสร็จแล้วก็ได้หนีไปหลบซ่อนอยู่ในที่ปลอดภัย อันเป็นพื้นที่ที่มี “มวลชน” เป็น “เกราะกำบัง” หรือเป็น “ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก” ให้แก่กลุ่มพวกเขา การใช้ความรุนแรงตอบโต้กลับจึงเป็นไปได้ที่จะทำให้กลุ่มคนที่มิใช่เป้าหมายพลอยต้องได้รับผลพวงไปด้วย ซึ่งนั่นมีแต่จะทำให้สถานการณ์ “ไฟใต้” มีแต่ยิ่งจะโชนเปลวแห่งความเลวร้ายมากขึ้น
ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ก็เป็นห่วงว่า การใช้ความรุนแรงโต้กลับจะเป็นการยกระดับให้ “ต่างชาติ” เข้ามายุ่งเหยิงกับวิกฤตปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งก็เป็นความเป็นห่วงที่ไม่ได้เรื่องผิดอะไรเลย เพราะปัญหาไฟใต้ในเวลานี้นั้น ถ้าเปรียบเป็น “หมากรุก” ก็ต้องนับว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดินผิดแม้จะเพียงแต้มเดียว แต่สถานการณ์การต่อสู้อาจจะทำให้แพ้ทั้งกระดานก็เป็นได้
ทว่า กระแสเสียงที่เปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์ท่านผู้นำในเรื่องนี้หนักหน่วงด้วยนั้น อาจจะเป็นเพราะคนในพื้นที่ต่าง “เบื่อหน่าย” กับการพูดถึงเรื่องของการ “ยกระดับไฟใต้” ในลักษณะนี้ เนื่องเพราะมีการใช้ถ้อยคำทำนองนี้มานานนับสิบปีแล้ว โดยที่คนในพื้นที่รู้สึกว่าคำพูดของ “ท่านผู้นำ” ควรจะต้องสื่อแสดงถึงการที่จะหาหนทางที่จะทำให้ “ไฟใต้มอดดับ” ได้อย่างไรเสียมากกว่า ซึ่งก็แทบไม่เคยเกิดขึ้นจริงบนแผ่นดินนี้
โดยข้อเท็จจริงการที่หน่วยงานความมั่นคงของรัฐกลัวการยกระดับไฟใต้ จนอาจจะนำไปสู่การแทรกแซงของต่างชาติ แล้วหันมาใช้วิธีการเบี่ยงเบนประเด็นไฟใต้ เช่น บอกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอาชญากรรมธรรมดา ไม่ใช่การก่อการร้าย ทั้งที่ทุกเหตุการณ์คือการก่อการร้าย หรือการสร้างวาทกรรมของ “อดีตแม่ทัพบางคน” ที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่า บีอาร์เอ็นฯ จบไปแล้ว ไม่มีแล้วขบวนการแบ่งแยกดินแดน ส่วนที่คอยบงการให้มีการก่อเหตุร้ายเป็นฝีมือของ “4-5 ตระกูลใหญ่” ที่เสียผลประโยชน์ และเป็นเรื่องของ “ภัยแทรกซ้อน” ซึ่งนั่นก็คือการไม่ยอมรับความจริงนั่นเอง
ในเมื่อหน่วยงานความมั่นคงมักแถลงข่าวด้วยความมั่นใจว่า สหประชาชาติ(UN) ก็ดี หรือ องค์การความร่วมมืออิสลาม(OIC) ก็ดี หรือ หน่วยงานสิทธิมนุษยชนสากลต่างๆ ก็ดี องค์กรนานาชาติเหล่านี้ต่างเข้าใจประเทศไทย เข้าใจสถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อทุกภาคส่วนต่างเข้าใจและสนับสนุนเรา การที่จะปราบปรามบีอาร์เอ็นฯ อย่างจริงจังจึงทำไม่ได้ ดังนั้น “ท่านผู้นำไทย” จึงต้องกลัวการยกระดับไฟใต้นั่นเอง ยกเว้นสิ่งที่พูดมา เป็นเรื่องที่ไม่จริง
“ความกลัวทำให้เสื่อม” ประโยคนี้อาจจะเป็นความจริง และเพราะประโยคนี้จึงทำให้การดับไฟใต้ต้อง “ล้มเหลว” มาโดยตลอด เพราะรัฐไทยกลัวแต่ต่างประเทศจะเข้ามาแทรกแซงเพียงอย่างเดียว จนลืมคิดถึง “ประชาชนในพื้นที่” โดยเฉพาะชาวไทยพุทธ พระและครู ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของโจรใต้ที่จะต้องบาดเจ็บและล้มตายไปกันอีกเท่าไหร่
เพราะนี่ก็ย่างเข้าปีที่ 15 แล้ว สิ่งที่หน่วยงานความมั่นคงบอกกับประชาชนว่า “สถานการณ์ดีขึ้น” หรือ “เราเดินมาถูกทางแล้ว” แต่สุดท้ายวันนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่กำลังจะไม่ต่างกับสถานการณ์ในห้วงของปี 2548-2550 ที่หนักหนาสาหัสเอาการเลยทีเดียว
เชื่อเถอะว่าสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จะไม่จบลงที่เหตุการณ์ล้อมกราดยิงพระวัดรัตนานุภาพ แต่ยังจะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง เพราะบีอาร์เอ็นฯ มีแผนปฏิบัติการด้วยการใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นไปตามวงรอบ เนื่องจาก ณ วันนี้กองกำลังของบีอาร์เอ็นฯ กระจายอยู่ทั่วในทุกพื้นที่ และสามารถที่จะตอบโต้ด้วยการสร้างความสูญเสียให้แก่ทั้ง “กองกำลังท้องถิ่น” รวมถึง “คนไทยพุทธ” ที่ต่างก็เป็นกลุ่มเป้าหมายอ่อนแอได้ในทันทีที่เกิดความสูญเสียกับฝ่ายมวลชน และกองกำลังของบีอาร์เอ็นฯ เอง
อีกทั้งยังมีข้อสังเกตบางประการถึงการ “เปลี่ยนแปลงตัวบุคคล” ในขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ซึ่งสอดรับต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น อันเชื่อว่าเป็นการปรับเปลี่ยนแบบ “ลับลวงพราง” โดยที่ “ดุลเลาะ แวมะนอ” หรือ “อดุลย์ มุณี” หรือ “ดิง แวกะจิ” และใครต่อใครอีกต่างก็ยังเป็นผู้บงการอยู่เหมือนเดิม แต่ออกข่าวว่าได้มีการเปลี่ยนตัวผู้นำขององค์การบีอาร์เอ็นฯ ไปแล้วหลายตำแหน่ง เพื่อสร้างกลลวงและเพื่อต้องการให้เห็นว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการสั่งการและปฏิบัติการของ “ผู้นำหน่วยคนใหม่” ที่ต้องการสร้างผลงานเพื่อให้สมาชิกและมวลชนในพื้นที่เห็นถึงศักยภาพ
หรือแม้แต่การที่มีข่าว “แกนนำสุดโต่ง” ของบีอาร์เอ็นฯ ต้องการใช้ความรุนแรงสุดติ่ง โดยกำหนดรูปแบบการก่อการร้ายแนวใหม่คล้ายกับกลุ่มก่อการร้ายสากล อย่างกลุ่มไอซิส (ISIS) หรือกลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย (Islamic State of Iraq and Syria) โดยการตั้งชื่อว่าเป็นกองกำลัง “ISS” ซึ่งมาจากชื่อเต็มว่า “I Shock Siam” หรือ “ไอช็อกสยาม” ซึ่งถือเป็นรายงานข่าวชิ้นสำคัญที่หน่วยข่าวรัฐต้องไม่มองข้าม หรือกระทั่งคิดว่าเป็นเรื่อง “ปรุงแต่ง” แต่อย่างใด
สำหรับเรื่องนี้มีแต่หน่วยงานรัฐต้องพยายามหาข้อเท็จจริง และต้องเข้าถึงข้อเท็จจริงให้ได้ รวมทั้งต้องไม่ช่วยกัน “ปกปิดความจริง” จนสุดท้ายอาจเกิดความเสียหายร้ายแรงตามมา ซึ่งจะเป็นปัญหาที่อาจจะแก้ไขได้ไม่ทันท่วงที และอาจจะเป็นไปได้ที่การบุกวัดรัตนานุภาพฆ่าพระ และทำร้ายพระครั้งล่าสุด เป็นผลงานของ “บีอาร์เอ็นฯ สุดโต่ง” กลุ่มนี้
เพราะอย่าลืมว่าในห้วงปี 2547 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2550 การปฏิบัติการสุดโต่งเช่น ฆ่าตัดคอ ฆ่าแล้วเผา ถล่มวัด ทำร้ายพระ ฆ่าพระและฆ่าครูจนตายเป็นเบือ เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น กลุ่มสุดโต่งจึงมีอยู่แล้วในขบวนการแบ่งแยกดินแดน การที่จะตั้งกลุ่มสุดโต่งใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เพียงแต่เป็นการเบี่ยงประเด็นนิดเดียวจาก “ไอซิส (ISIS)” หรือ “ไอเอส (IS)” ที่สังคมมุสลิมส่วนใหญ่ไม่รับ เพราะเป็นแบบลัทธิก่อการร้ายแบบในแถบประเทศมุสลิมแถบตะวันออกกลาง ในส่วนของสถานการณ์ไฟใต้บ้านเราได้เปลี่ยนมาเป็น “ไอเอสเอส (ISS)” ซึ่งเป็น “กลุ่มก่อการร้ายสุดโต่งแบบมลายู” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดการยอมรับเท่านั้นเอง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นที่วัดรัตนานุภาพ จนชาวพุทธต้องสูญเสีย “พระคุณเจ้า” ผู้มีวัตรปฏิบัติที่งดงามไปถึง 2 รูป และยังบาดเจ็บอีก 2 รูป นั่นก็ถือเป็น “คุณูปการ” ให้แก่ผู้อยู่หลัง เพราะเกิดปรากฏการณ์ตื่นตัวครั้งใหญ่ของคนไทยพุทธทั้งในและนอกพื้นที่ ซึ่งมองเห็นภัยคุกคามต่อพระภิกษุสงฆ์ผู้สืบทอดบวรพุทธศาสนา ในการกดดันให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้มองเห็น “ความบกพร่อง” ที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะปฏิบัติการของอาร์เคเคครั้งนี้ ย่อมสร้างความสั่นสะเทือนไปถึง “บัลลังก์” ของทั้งระดับ “นายกรัฐมนตรี” และ “ผบ.ทบ.”
นอกจากนั้น เชื่อว่ายังสร้างความสั่นสะเทือนถึงขบวนการบีอาร์เอ็นฯ เองด้วยไม่มากก็น้อย เพราะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามวลชนที่เป็น “มุสลิม” ก็แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกับการที่ บีอาร์เอ็นฯ เปิดปฏิบัติการต่อผู้นำศาสนาพุทธในครั้งนี้
ปฏิบัติการต่อไปของ “มวลชนชาวไทยพุทธ” จะต้องไม่หยุดนิ่ง หรือเป็นได้แค่ปรากฏการณ์ “ไฟไหม้ฟาง” แต่จะต้องมีการรวมตัวกันขับเคลื่อนทิศทางการต่อสู้อย่างมี “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี” เพื่อการกดดันทั้งฝ่ายความมั่นคงของรัฐไทย และฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็นฯ
เนื่องเพราะเหตุการณ์อันเหี้ยมโหดที่วัดรัตนานุภาพนั้น ทั้งบีอาร์เอ็นฯ และฝ่ายความมั่นคงต่างล้วนต้องตกเป็น “จำเลย” ทั้งสิ้น