ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “บรรจง นะแส” นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย โพสต์ชี้ชัดทุกพรรคการเมืองสอบตกในประเด็นการอนุรักษ์ “ทรัพยากรทางทะเล” ทั้งที่ตัวพรรคมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนประมงพาณิชย์ รวมถึงการเสนอนโยบายที่ขาดการใช้ข้อมูลทางวิชาการอย่างเพียงพอ
จากเฟซบุ๊กของ “บรรจง นะแส” นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ได้เขียนแสดงความคิดเห็น “นโยบายพรรคการเมืองต่อบทบาทในการฟื้นฟูทะเลไทย” โดยระบุว่า พรรคการเมืองทุกพรรคที่ผ่านมาสอบตกในประเด็นการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ทั้งด้วยที่ตัวพรรคมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนประมงพาณิชย์ รวมถึงการเสนอนโยบายที่ขาดการใช้ข้อมูลทางวิชาการอย่างเพียงพอ โดยในโพสต์ดังกล่าว ระบุว่า...
นโยบายพรรคการเมืองต่อบทบาทในการฟื้นฟูทะเลไทย
วันนี้มีทีม ปชส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ให้เกียรติบุกมาถึง สนง. มีหลายคำถามที่น่าสนใจ ผมขอประมวลสรุปไว้เผื่อที่พรรคการเมืองอื่นๆ สนใจจะนำไปไตร่ตรองดูว่าท่านควรจะมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับปัญหา และทางออกของทรัพยากรทะเล
1.ผมบอกไปว่าพรรคการเมืองไทยทุกพรรคตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน “สอบตก” ในเรื่องของนโยบายในบริหารจัดการทรัพยากรทะเล ผมวิเคราะห์แบบไวๆ ให้เขาฟังว่า เพราะทุกพรรคการเมืองไม่ได้เป็นพรรคมวลชนที่แท้จริงแม้แต่พรรคเดียว แต่ส่วนมากเป็นพรรคของกลุ่มทุนทั้งในระดับชาติและทุนท้องถิ่น ในเรื่องทะเลตัวแทนพรรคการเมืองคือเจ้าของธุรกิจทางการประมง ตั้งแต่เจ้าของเรือใหญ่/แพปลา/โรงงานน้ำแข็ง/โรงงานปลาป่น ฯลฯ ถ้ามาดูกันในแง่ของฐานมวลชนที่แท้จริงชาวประมงพื้นบ้านทั่วประเทศใน 22 จังหวัด มีจำนวนถึง 85% ของประชากรที่ทำอาชีพประมง แต่ประมงพาณิชย์มีเพียง 15% แต่พรรคการเมืองทุกพรรคล้วนผูกอยู่กับกลุ่มประมงพาณิชย์ที่มีจำนวนเพียง 15% อะไรที่เป็นเช่นนั้นสังคมไทยรู้ดี
2.พรรคการเมืองทุกพรรคไม่ทำการบ้านในเรื่องทรัพยากรในทะเลอย่างจริงจัง มองแต่ภาพเฉพาะหน้า ขาดวิสัยทัศน์ในการจัดการทรัพยากรทะเลที่ยั่งยืน และปล่อยให้อำนาจในการต่อรองทั้งในระดับนโยบาย และการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินตกอยู่ภายใต้อำนาจของระบบทุน ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ในเรื่องปัญหาทรัพยากรทางทะเล ผมยังไม่ได้ยินพรรคไหนพูดถึงการพัฒนาทรัพยากรในทะเลอย่างยั่งยืนแม้แต่พรรคเดียว แต่มักพูดถึงจะทำอย่างไรให้พี่น้องทั้งประมงพาณิชย์ และประมงพื้นบ้านอยู่ร่วมกันให้ได้ เสมือนพยายามคิดค้นนโยบายที่จะเอา “ฝูงลูกเขียดกับงูจงอางมาขังไว้ร่วมกันในโอ่งเดียวกัน” ให้ได้ ซึ่งสะท้อนถึงการไม่ทำการบ้าน ทั้งในเรื่องต้นทุนทางทรัพยากร การประกอบอาชีพที่หลากหลาย และแตกต่างของอาชีพประมงหรือวิทยาศาสตร์ทางทะเลแม้แต่นิดเดียว
3.พรรคการเมืองพยายามคิดรูปแบบที่ทำให้ดูเสมือนการสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เช่น เสนอ “สภาชาวประมงแห่งชาติ” ซึ่งก็ดูดีทีเดียว แต่ในทางปฏิบัติอยากให้แต่ละพรรคลองไปศึกษา สภาเกษตรกรแห่งชาติ กองทุนฟื้นฟูเกษตรกร คณะกรรมการชุดต่างๆ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา (เวลาถูกเกษตรกรสาขาอาชีพต่างๆ เดือดร้อนแล้วทนไม่ไหวลุกกันขึ้นมาเดินขบวน) ฯลฯ ว่ากลไกเหล่านั้นสามารถตอบสนองการแก้ไขปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน??? และติดขัดตรงไหน??? การเสนออะไรใหม่ๆ ให้ดูดีๆ มันไม่พอ เพราะประชาชนเองก็มีประสบการณ์มาแล้วมากมาย รูปธรรมของความล้มเหลวในอดีตในการจัดการทรัพยากรทางทะเลที่พรรคการเมืองจะต้องทบทวน เช่น
3.1 กรณีเครื่องมือทำการประมงแบบทำลายล้างที่เรียกว่า “เรือปั่นไฟจับปลากะตัก” ในปี 2526 ประมงพื้นบ้านทั่วประเทศเดือดร้อนกันมาก มีการออกประกาศกระทรวงเกษตรฯ โดยนายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ รมช.เกษตรในสมัยนั้น ปัญหาก็ทุเลาเบาบางลง แต่พอถึงปี 2539 มีรัฐมนตรีท่านหนึ่ง (นายมณฑล ไกรวัศนุสรณ์ ซึ่งก็มาจากธุรกิจประมงพาณิชย์) ออกประกาศยกเลิกให้กลับไปทำการประมงด้วยวิธีปั่นไฟได้อีก ไม่มีพรรคการเมืองไหนแม้แต่พรรคเดียวที่ลุกขึ้นมาทัดทาน เป็นที่มาของลูกปลาทูตัวเล็กยังถูกทำลายอย่างมหาศาล และต้มตากขายกันเกลื่อนตลาดในปัจจุบัน
3.2 กรณีเรืออวนลาก นักวิชาการกรมประมงได้พยายามทำหน้าที่ บอกว่าภาวะทรัพยากรทางทะเลไทยกำลังวิกฤต อยู่ในภาวการณ์ทำการประมงที่เกินศักยภาพของทะเล (Over Fishing) จากงานวิจัยทุกสำนักสรุปว่า “อวนลาก” คือเครื่องมือทำการประมงที่ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำวัยอ่อนหลากหลายชนิดที่รุนแรงที่สุด จะต้องหาทางยุติ วิธีการในยุคนั้นคือ การหาทางยุติโดยวิธีการนิ่มนวลค่อยเป็นค่อยไป โดยออกมาตรการไม่ให้มีการต่ออาญาบัตร และไม่ออกทะเบียนเรือเพิ่ม มีจำนวนเท่าไหร่ก็หยุดแค่นั้น เมื่อเรือเก่าหมดอายุใช้งาน อวนลากก็จะหมดไปจากท้องทะเลไทย แต่มาตรการดังกล่าวไม่ได้ผลเพราะทุกพรรคการเมือง ปล่อยให้มีการ “นิรโทษกรรมเรืออวนลาก” หนแล้วหนเล่า ประเทศนี้มีการนิรโทษเรืออวนลากมาแล้ว 4 ครั้ง ปัญหาทรัพยากรในทะเลไทยจึงวิกฤตสุดๆ เมื่อโดนมาตรการสากลอย่างกรณี IUU FISHING/C.188 ทั้งประมงพาณิชย์ขาใหญ่และกรมประมง ตลอดจนกลไกลวกๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า จึงดิ้นกันเป็นไส้เดือนโดนขี้เถ้าอยู่ในปัจจุบัน
4.ประเทศเราหลีกมาตรการทางสากลต่างๆ ไม่ได้หรอก ไม่ว่าข้อตกลงเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น เรื่อง SDG (Sustainable Development Goal) เรื่องทะเลอยู่ในข้อที่ 14/IUU FISHING/มาตรการคุ้มครองแรงงานประมง C.188 ฯลฯ เพราะหากเราไม่รับ/ไม่ปฏิบัติก็จะส่งผลกระทบต่อภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย พรรคการเมืองไม่ควรหาเสียงเพียงเพื่อเอาชัยชนะการเลือกตั้งเฉพาะหน้า ไม่บอกความจริงแก่ประชาน แต่เลือกพูด/บอกเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ลงไปหาเสียง
5.พรรคการเมืองทุกพรรคจะมีคณะกรรมการนโยบายพรรค ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการกำหนดยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ ไม่ค่อยสนใจข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งในเรื่องของการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเป็นข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ หลายๆ กรณีไม่สามารถเอาผลประโยชน์ของกลุ่มทุน/สมาชิกมาเป็นที่ตั้งได้ ต้องมีข้อมูลที่เป็นวิชาการ/เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งเรื่องบริหารจัดการทรัพยากรเป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น
เรียนมาด้วยความรักในระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องมีพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทน และเอาผลประโยชน์ของสังคมโดยรวมเป็นที่ตั้งครับ