คอลัมน์... “คนทุกข์ลุกสร้างสุข : สมัชชาประชาชนภาคใต้”
โดย… สมบูรณ์ คำแหง ที่ปรึกษา กป.อพช.ใต้
“กรมชลประทาน” เป็นกรมที่มีอายุยืนยาวมากที่สุดกรมหนึ่งของประเทศไทย กล่าวคือ เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2445 ที่เรียกในขณะนั้นว่า “กรมคลอง” มีหน้าที่ดูแล ทำนุบำรุงคลองต่างๆ ไม่ให้ตื่นเขิน จนถึงปี พ.ศ.2457 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กรมทดน้ำ" และเมื่อมาถึงปี พ.ศ.2570 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมชลประทาน” โดยให้มีหน้าที่มากกว่าการเป็นกรมทดน้ำ แต่ได้รวมถึงภารกิจการขุดคลอง การทดน้ำ รวมทั้งการสูบน้ำ และส่งน้ำตามคลองต่างๆ เพื่อช่วยเหลือทางการเกษตร
ปัจจุบันบทหน้าที่ของกรมชลประทานมีเพิ่มขึ้นจากเดิมคือ การพัฒนาแหล่งน้ำตามศักยภาพของลุ่มน้ำให้เพียงพอ จัดการน้ำให้กับผู้ใช้น้ำทุกประเภทอย่างทั่วถึง เป็นธรรมและยั่งยืน เสริมสร้างให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อให้การและบริหารจัดการน้ำ ทุกระดับอย่างบูรณาการดำเนินการป้องกันและบรรเทาภัยทางน้ำ (กรมชลประทาน, 2557)
เมื่อเราคิดถึงกรมชลประทาน เราก็จะนึกถึงภาพของการสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ หรือไม่ก็การขุดคลองเป็นภาพแรกๆ จึงเห็นว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ประเทศไทยมีการสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำไว้เป็นจำนวนมากในทั่วทุกภาคของประเทศ โดยการอ้างปัญหาการขาดแคลนน้ำ หรือปัญหาน้ำท่วม และบางเขื่อนที่อ้างเรื่องการผลิตพลังงานไฟฟ้าอยู่บ้างก็ตาม
ในขณะที่ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน เสมือนเป็นเรื่องปกติ หากแต่อาจจะไม่ปกตินักในพื้นที่ที่ได้มีการสร้างเขื่อนหรือมีอ่างเก็บน้ำไว้แล้ว หากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง ซึ่งเห็นได้จากกรณีน้ำท่วมใหญ่ที่ อ.หาดใหญ่ จงสงขลา เมื่อปี พ.ศ.2543 และปี พ.ศ.2553 ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการควบคุมหรือกักเก็บน้ำที่ผิดพลาด ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อื่นๆของภาคใต้ และภาคอื่นๆของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม เราจะต้องไม่ลืมว่าสภาพภูมิประเทศบ้านเราตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นของโลก ที่จะต้องประสบกับสภาพฝนตกมากกว่าฝนแล้ง ที่อาจจะหนักบ้าง เบาบ้าง ตามแต่สภาวะผกผันของธรรมชาติ
กรมชลประทาน ถือเป็นหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณสูงอันดับต้นๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ส่วนใหญ่แล้วคือ งบประมาณที่ใช้ไปกับการพัฒนาแหล่งน้ำ นั่นคือการสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และขุดคลอง ซึ่งส่วนใหญ่ของโครงการเหล่านี้กรมชลประทานมักจะอ้างสถานการณ์ทางธรรมชาติเป็นที่ตั้ง อันหมายถึงภารกิจและอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ด้วย
หากแต่จำนวนไม่น้อยของโครงการเหล่านี้ได้ถูกอ้างว่า เป็นไปตาม “พระราชดำริ” ที่ทรงต้องการจะให้มีการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้กับพสกนิกร ดังที่ประชาชนรับรู้อยู่บ้างตามหน้าสื่อต่างๆ และในจำนวนนี้ยังพบว่า ได้มีการแอบอ้างอย่างไม่มีที่มาที่ไป และมีความผิดเพี้ยนไปจากเจตนาเดิมของพระราชประสงค์นั้นหรือไม่ อย่างไร
ดังเช่นกรณีของโครงการสร้าง “เขื่อนคลองช้าง” ที่ จ.สตูล ที่เคยมีการอ้างจากคนกลุ่มหนึ่งว่า เป็นโครงการตามพระราชดำริ แล้วมีการขอรายชื่อประชาชนในพื้นที่ยื่นให้กับกรมชลประทาน เพื่อแสดงการสนับสนุนสร้างเขื่อนดังกล่าวในช่วงปี พ.ศ.2555-2557
จนชาวบ้านได้ทำหนังสือไปยังกรมพระราชวังให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งกรมพระราชวังได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตอบคำถามด้วยตนเอง ในเวทีตรวจสอบการร้องเรียนของชาวบ้านที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในชุดอนุกรรมการสิทธิชุมชนฯ ในขณะนั้นจัดขึ้น อันมี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นประธาน ซึ่งได้ให้คำตอบว่า...
โครงการสร้างเขื่อนคลองช้าง ไม่ได้เป็นโครงการพระราชดำริตามที่กล่าวอ้าง จนทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลในขณะนั้น สั่งให้มีการตรวจสอบที่มาที่ไปต่อเรื่องนี้
ในที่นี้ไม่ได้ต้องการจะกล่าวหากรมชลประทานว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังปัญหาที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่จะขยายภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เพื่อให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่มักเกิดขึ้นชาวบ้านอยู่เสมอในหลายพื้นที่ และถือเป็นเป็นวิธีการที่ทำให้ชาวบ้านรู้สึกกลัว และไม่กล้าออกมาแสดงออกไปในทางที่ไม่เห็นด้วย หรือคัดค้านโครงการ ทั้งที่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ ความเดือดร้อนโดยตรงกับพวกเขาเอง
จากเหตุดังกล่าวนี้ ได้ทำให้บทบาทหน้าที่หลักอันหนึ่งของกรมชลประทาน ซึ่งต้องการสร้าง “กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน” ดังที่ปรากฏอยู่ในภารกิจที่สำคัญของกรมฯ ต้องลดหายไปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม กรมชลประทานยังคงเป็นเจ้าภาพหลักที่ประชาชนมักถามหาทุกครั้งที่เกิดเหตุภัยพิบัติที่เกี่ยวกับน้ำ ซึ่งทุกครั้งก็จะได้รับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้สามารถอยู่รอด หรือประทังปัญหาให้ผ่านไปเป็นครั้งคราว แต่ทุกครั้งหลังเกิดเหตุภัยพิบัติทั้งน้ำท่วมและภัยแล้ง กลับไม่มีการเข้าไปสร้างกระบวนการในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังในพื้นที่นั้นๆ
ซึ่งนั่นก็คือการสร้างโอกาสของกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้มีการวิเคราะห์ถึงสาเหตุปัญหา และทางออกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งบางกรณีสามารถแก้ไขได้ภายในพื้นที่เอง หรือจะเรียกว่าการสร้างแผนการบริหารจัดการน้ำของชุมชน โดยชุมชน และเพื่อชุมชน อันน่าจะเป็นบทบาทที่หลายคนมีความคาดหวังในบทบาทของกรมชลประทาน
แต่กลับพบว่าบทบาทดังกล่าวของกรมชลประทานไม่ค่อยเด่นชัดนัก ในขณะที่ความตื่นตัวของชุมชนต่อเรื่องนี้กลับมีมากกว่า อย่างกรณีที่มีการสร้าง “ฝายมีชีวิต” ของชุมชน จนกลายเป็นกระแสการบริหารจัดการน้ำที่ได้รับการยอมรับอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังเห็นได้จากการสร้างเป็นเครือข่ายที่มีการเกาะกลุ่มรวมตัวเป็นโครงข่ายที่เชื่อมโยงกันในระดับจังหวัด ระดับภูมิภาคได้อย่างน่าสนใจ
แต่แนวคิดดังกล่าวนี้กลับยังไม่เป็นที่ยอมรับของภาครัฐ ซึ่งรวมถึงกรมชลประทานด้วย
มายาคติของกรมชลประทานที่ยังมองเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและขาดแคลนน้ำ ยังคิดได้แค่วิธีการแค่สร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำและขุดคลอง คงเป็นสูตรสำเร็จที่กระทำได้ง่าย ซึ่งถือเป็นความ “มักง่าย” ของหน่วยงานราชการของประเทศไทยอยู่ต่อไป อันผนวกไปกับการ “ได้ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล” รวมอยู่ด้วย
จึงไม่แปลกที่รัฐบาลแต่ละยุคสมัย อยากจะออกแบบการบริหารจัดการน้ำ ด้วยการใช้งบประมาณนับหมื่นหรือนับแสนล้านบาทเป็นที่ตั้ง เพราะนั่นหมายถึงผลประโยชน์ที่ได้มีการจัดสรรร่วมกันอย่างลงตัวของคนหลายกลุ่ม โดยการนำปัญหาและความทุกข์ร้อนของประชาชนมาเป็นตัวประกันนั่นเอง
ในขณะที่ประชาชนคนชั้นกลางในเมือง หรือคนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งอย่าง ซ้ำซากก็ตกอยู่ในภาพมายาคติที่ถูกสร้างขึ้น จนลืมไปว่าการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นยังมีทางออกอื่นๆ อีกหลายวิธี ซึ่งชุมชนสามารถหาทางออกได้เอง และที่มากไปกว่านั้นคือ การได้ทำความเข้าใจกับสภาวะของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างหนักด้วยน้ำมือของมนุษย์
แม้กระทั่งการปล่อยประละเลยในเรื่องของการ “ออกแบบผังเมือง” ที่ไม่ได้มีคิดป้องกันเรื่องการจัดการน้ำได้อย่าง “มีส่วนร่วมของประชาชน” ที่มีความเข้าใจสภาพพื้นที่ จนทำให้มีการสร้างบ้านแปลงเมืองที่ขัดแย้งกับสภาพพื้นที่ จนทำให้มีการสร้างสิ่งกีดขวางหรือปิดกั้นทางน้ำดั้งเดิมอย่างไม่ผิดกฎหมาย
นอกจากนั้นแล้วการสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำในพื้นที่ภาคใต้หลายๆ แหล่ง ยังมีนัยสำคัญที่จะรองรับการเจริญเติบโตของ “การลงทุนในระบบอุตสาหกรรม” ที่ถือเป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงกว่าภัยธรรมชาติที่เป็นอยู่
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ประชาชนชาว จ.นครศรีธรรมราช และคนทั่วภาคใต้จะต้องนำไปเป็นบทเรียน เพื่อเรียนรู้ร่วมกันทั้งสิ้น มิใช่ว่าจะหลับหูหลับตาปล่อยให้กรมชลประทานหรือรัฐบาลเข้ามาใช้วิธีการแก้ไขปัญหาแต่เพียงฝ่ายเดียวเช่นที่ผ่านๆ มา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หรือปลายทาง แต่ไม่สนใจต่อต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
นั่นหมายถึงคนนครศรีธรรมราช และรวมถึงคนปักษ์ใต้จะต้องไม่ยอมจำนนใน “มายาคติ” ที่ไม่รู้ใครเป็นผู้สร้างอยู่นี้อีกต่อไป
การอนุมัติโครงการสร้าง “เขื่อนวังหีบ” ของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2561 ที่ผ่านมา จึงไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะพี่น้องชาววังหีบได้พยายามแสดงออกต่อเรื่องนี้อย่างใช้เหตุผลต่างๆ นานามาแล้วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้รวมถึงการเดินทางไปพบกับ นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2561 ล่วงหน้า 1 วันก่อนที่ ครม.จะอนุมัติโครงการ ซึ่งก็คือความพยายามล่าสุดของพวกเขา
หากแต่สิ่งที่ นายกฤษฎา บุญราช ใจจืดใจดำไม่ยอมบอกกล่าวกับชาวบ้านในวันนั้นว่า เรื่องนี้จะถูกอนุมัติในวันรุ่งขึ้น แถมยังแสดงออกซึ่งการน้อมรับหนังสือร้องทุกข์ของชาวบ้านตาดำๆ เหล่านั้นได้อย่างหน้าตาเฉย
สิ่งนี้จึงยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ที่ชัดเจนขึ้นของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเชื่อแน่ว่าหลังจากนี้ไปชาวบ้านในพื้นที่คงต้องกระทำการทุกวิถีทาง เพื่อที่จะหยุดยั้งโครงการสร้างเขื่อนวังหีบอย่างถึงที่สุด
และนี่คือสิ่งที่จะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า พฤติกรรมของ “กรมชลประทาน” ภายใต้ “รัฐบาลเผด็จการทหาร” ชุดนี้จะใช้วิธีการอย่างไรกับชาวบ้านเหล่านั้นต่อไป