ปัตตานี - “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพรรคชาติไทยพัฒนา ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งความหวังยึดพื้นที่ชายแดน มั่นใจทุกคนดีกว่าชุดก่อน
วันนี้ (6 ธ.ค.) พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา นายธีระ วงศ์สมุทร กรรมการที่ปรึกษาพรรค และนายธีระ มินทราศักดิ์ กรรมการอำนวยการเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำทีมผู้สมัคร ส.ส. ในนามพรรคชาติไทยพัฒนา ทั้ง 4 จังหวัด ทั้งหมด 13 คน เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ณ บ้านของ นายสนิท นาแว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จังหวัดปัตตานี ที่บ้านเลขที่ 26/1 หมู่ 4 ต.ราตาปันยัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี โดยทุกคนได้เดินทางมาพบประชาชนที่มาคอยต้อนรับอย่างล้นหลาม
โดยในวันนี้ มารับฟังเสียงของประชาชนในพื้นที่ และเพื่อวางแนวทางตามนโยบายพรรค เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 มั่นใจในตัวผู้สมัครว่าทุกคนมีสิทธิสอบผ่านในทุกเขต เพราะทุกคนที่มาเป็นคนดี พร้อมทำเพื่อสังคม ทำการเมืองให้ดีกว่าที่ผ่านมา
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เปิดเผยว่า ตนรับผิดชอบพื้นที่ผู้สมัครทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 2 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยผ่านผู้อำนวยการพรรคระดับเขตชายแดนใต้เป็นผู้คัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 11 เขต ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 2 เขตของ จ.สงขลา โดยได้พิจารณาคัดสรรคนดีมีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือสังคม โดยในครั้งนี้เห็นว่าเป็นบุคคลที่ดีกว่าที่ผ่านมา มั่นใจทุกคนเป็นตัวแทนของประชาชนสอบผ่านแน่นอน
สำหรับนโยบายนั้นในปัจจุบันสังคมที่มีความขัดแย้ง ตนเห็นว่าต้องคลายความขัดแย้งเรื่องพฤติกรรมในสังคมที่แตกต่างให้มีความเป็นอยู่แบบพหุวัฒนธรรม อยู่ได้ด้วยความรักความสามัคคี และในประเด็นด้านเศรษฐกิจในพื้นที่เห็นว่าใน 3 จังหวัดเป็นพื้นที่ที่ทุกคนพอมีพอกินอยู่แล้ว แต่เป็นเรื่องที่ต้องจัดสรรให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่วนในเรื่องของปัญหายางพารา ต้องลงไปตรวจสอบลึกลงไป และต้องดูในภาพรวมว่าจะจัดการกันอย่างไร อีกด้านคือในเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมต่อผู้ที่มีคดีความมั่นคงให้ได้มากที่สุด ให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรม
ในด้านเรื่องปัญหาความมั่นคงใน 3 จังหวัดนั้น ผมซึ่งในฐานะที่มีประสบการณ์ ต้องการให้ผู้สมัครในพื้นที่เข้าใจในการทำงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคงได้ ยกตัวอย่างในประเทศจีน ในมณฑลซินเจียง ซึ่งมีมุสลิมอยู่เป็นจำนวนมากเขาอยู่กันได้ จะทำอย่างไรให้เขาอยู่กันด้วยความรักความเข้าใจ แล้วต้องพัฒนาให้มีการศึกษาให้ดีขึ้น และทำเศรษฐกิจให้ดีขึ้น จนสุดท้ายทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้
ในบ้านเราก็เช่นกัน ถ้าทุกคนมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวเป็นคนไทยด้วยกันมีความรักความผูกพันกัน และมีการพัฒนาในเรื่องการศึกษาและเศรษฐกิจในทุกๆ ด้าน เหล่านี้แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเช่นกัน และในด้านการดูแลจัดการผมเห็นว่ากระทรวงมหาดไทย ต้องเป็นผู้มีบทบาทมากกว่านี้ สั่งผ่านทางกำนัน และผู้ใหญ่บ้านซึ่งเข้าใจพื้นที่ดีเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาให้ได้มากที่สุด
ส่วนในด้านประเด็นเรื่องการพูดคุยสันติสุขนั้น เห็นว่าสามารถหยิบยกบทเรียน 66/23 มาดูได้ ครั้งนี้เราต้องให้อภัยสำหรับผู้เห็นต่างและเริ่มต้นที่ศูนย์กันใหม่ และนับ 1 2 3 กัน เพราะหากเป็นการรบกันไปมาก็ไม่มีข้อยุติได้ ผมเคยผ่านการพูดคุยเจรจาสันติสุขมาหลายครั้ง ตั้งแต่ประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซียได้เข้ามา เห็นว่าคนที่อยู่ในกระบวนการพูดคุยสันติสุขต้องเข้าใจความต้องการของบุคคลเหล่านั้นในแต่ละรายไป ได้รู้จุดที่ถูกต้องแล้วจะแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
และสุดท้ายขอฝากว่าในสังคมบ้านเราทุกวันนี้ต้องใคร่ครวญว่าจะทำอย่างไรให้คน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ทั้งนี้ ต้องดูในขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ โดยสามารถหยิบยกวิธีจากที่อื่นมาใช้ เช่น ในการพัฒนาเศรษฐกิจ และให้ทุกคนมีความรักความสามัคคีกันทและต้องให้คนทั้งประเทศเข้าใจตรงกันว่าปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถแก้ไขได้ หากเราแก้ปัญหาในด้านสังคมดี สามารถยกระดับเศรษฐกิจได้ดี ให้ทุกคนและมีความรักสามัคคีกันได้ ถ้า 3 อย่างนี้ดีปัญหาความมั่นคงจะกลายเป็นปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น