คอลัมน์...“คนทุกข์ลุกสร้างสุข : สมัชชาประชาชนภาคใต้”
โดย…ไมตรี จงไกรจักร มูลนิธิชุมชนไท
สมัชชาประชาชนภาคใต้...คนทุกข์ลุกสร้างสุข ได้พยายามหยิบยกเรื่องราวของคนเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ มาสื่อสารให้สังคมสาธารณะเข้าใจ ในหลากหลายกรณีปัญหา ที่เป็นเหตุให้สมัชชาประชาชนภาคใต้รวมตัวกันลุกขึ้นมาที่จะบอกกล่าวและหาทางออกร่วมกัน ทั้งในพื้นที่และทางนโยบาย
“ชาวเล” คือกลุ่มคนเล็กๆ ที่มีอยู่จริงในอันดามัน 5 จังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทย อาจไม่มากนัก เพียง 44 ชุมชนเล็กๆ เท่านั้นใน จ.พังงา จ.ภูเก็ต จ.ระนอง จ.กระบี่ และ จ.สตูล หรือรวมแล้วประมาณ 14,000 คนเท่านั้น
หลายคนอาจมองว่า ชาวเลเป็นคนส่วนน้อยของสังคม จึงต้องยอมต่อนโยบายหรือกฎหมายที่ออกมาเพื่อพัฒนาประเทศโดยรวม โดยไม่เคยไยดีใดๆ กับกลุ่มชาติพันธุ์เล็กๆ มาก่อนเลย จนหลังเกิดเหตุสึนามิเมื่อปลายปี 2547 เป็นต้นมา เรื่องราวคนเล็กๆ กลุ่มนี้จึงได้เปิดเผยให้คนในสังคมรับรู้มากขึ้น
ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล เป็นชาติพันธุ์อูรักลาโว้ย ที่มีประมาณ 180 ครัวเรือน ที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 5 เพราะมีบันทึกในการเจรจาการแบ่งอาณาเขตประเทศไทยว่า เจ้าเมืองสตูลในยุคนั้นได้ไปเจรจาแบ่งแนวเขตประทศไทยกับประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้แทนประเทศอังกฤษในยุคนั้นเป็นคนกลางในการเจรจา
สุดท้ายตกลงกันไม่ได้ จนผู้แทนประเทศอังกฤษได้ตัดสินโดยถามคนที่อาศัยบนเกาะ ซึ่งคือชาวเลเกาะหลีเป๊ะในขณะนั้นเรียกกันว่า “คนเกาะ” ชาวเลตอบ “ขออยู่ประเทศสยาม” ดังนั้น เกาะหลีเป๊ะ อาดัง ราวี จึงกลายเป็นของประเทศไทยจนปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันชาวเลเกือบทั้งหมดไร้สิทธิในที่ดินที่อยู่บนเกาะเหล่านั้นทั้งสิ้น เพราะกฎหมายและนโยบายที่ออกมา ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ถูกเครื่องมือและช่องว่างของกฎหมายเล่นงาน ทำให้สูญเสียสิทธิในที่ดินไปตามกฎหมาย ต้องถูกคดี ถูกฟ้องขับไล่ ซ่อมบ้านไม่ได้ ไร้ทางเดินเข้าออกบ้าน โรงเรียนและอนามัยไร้ซึ่งคุณภาพชีวิต
ทั้งที่พวกเขาคือ “ผู้กำหนดขอบเขตประเทศไทย” ที่สมควรได้รับการยกย่องเสียด้วยซ้ำ
หญิงชาวเลคนหนึ่งเคยกล่าวมาตลอดในทุกเวทีอย่างต่อเนื่องว่า “ปู่เราไม่น่าผิดพลาดเลย ถ้าย้อนเวลาได้ เราขอไปเป็นคนของประเทศมาเลเซียเสียแต่ตอนนั้น ป่านนี้เราคงจะไม่ลำบากขนาดนี้แน่นอน แม้แต่หลุมฝังศพหรือสุสานของเรา ยังอยู่ในรั้วเอกชนเสียแล้ว” เธอกล่าว
ชาวเลเกาะลันตา จ.กระบี่ เมื่อท่านใดไปเที่ยวเกาะลันตาอาจเห็นป้ายเล็กๆ ที่ปักไว้เพื่อบอกเล่าประวัติศาสตร์เกาะลันตา “เกาะลันตา ถือเป็นเมืองหลวงของอูรักลาโว้ย” ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลที่ขยายไปยึดครองเกาะต่างๆ รวมไปถึงก่อนมีเกาะภูเก็ตด้วยซ้ำไป
วันนี้ชาวเลเกาะลันตาบอกเล่าให้ฟังว่า “เรากลายเป็นผู้บุกรุกที่ดินรัฐ ที่มีกฎหมายออกมาทำให้ชาวเลที่นี่สูญเสียหลุมฝังศพ (สุสาน) ชาวเลไป เช่น เอกชนบางคนออกเอกสารสิทธิที่ดินทับสุสาน ตัดถนนผ่านสุสาน บ้านที่อยู่กลายเป็น ป่าไม้ อุทยาน ป่าชายเลน ทะเลที่หากินกลายเป็นอุทยาน จนเราเกือบไม่มีอะไรกิน”
ผู้แทนชาวเลบนเกาะลันตาเล่าให้ฟัง พร้อมถอดใจอย่างไร้หนทาง
ชาวเลราไวย์ จ.ภูเก็ต จำนวน 200 กว่าครอบครัว ประชากร 2 พันกว่าคน บนเนื้อที่ซึ่งเหลือพอจะซุกหัวนอนกันได้ทุกวันนี้ประมาณ 19 ไร่ ซึ่งกลับกลายเป็นเอกสารสิทธิของเอกชนบางกลุ่ม ซึ่งเอกชนกำลังฟ้องขับไล่ข้อหาบุกรุกที่ดินกว่า 100 คดี
หาดราไวย์เองก็ยังมีเอกชนบางรายที่พยายามจะปิดกั้นให้กลายเป็นหาดส่วนตัว ที่ในอนาคตชาวเลก็อาจไม่สามารถจอดเรือ ถักอวน ทำลอบ ขึ้นซ่อมเรือได้อีก อีกทั้งพื้นที่ที่เป็นทะเลกว่า 20 เกาะที่ชาวเลเคยดำน้ำจับปลา หากิน ยิงกุ้ง ก็กลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ห้ามจับสัตว์น้ำเสียสิ้น
ชาวเลภูเก็ตอีก 4 ชุมชนที่ต่างก็พบวิบากกรรมไม่ต่างกันเลย ทั้งวิถีวัฒนธรรมการนอนหาด ชุมชนริมน้ำที่ผิดกฎหมายเจ้าท่า สถานที่นอนหาดกลายเป็นหาดหน้าโรงแรม และมีแต่ลดน้อยถอยลง สุสานฝังศพก็ถูกเอกชนออกเอกสารสิทธิทับ ปิดทางเข้าออก
ทั้งที่บันทึกประวัติศาสตร์ระบุว่า ชาวเลคือมนุษย์กลุ่มแรกที่อยู่บนเกาะภูเก็ตอย่างยาวนานกว่า 300 ปี
ชาวเล จ.พังงา รวม 25 ชุมชน ประวัติศาสตร์ของชาวเลที่นี่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมอแกน ที่อพยพมาจากอาณาจักรศรีวิชัย หรือเมืองนครเป็นหลัก เพราะเกิดจากโรคระบาด จึงลัดเลาะหาท้องทะเลใหม่ จนมาอาศัยตามริมทะเลในพื้นที่ จ.พังงา
เมื่อมีการออกกฎหมายที่มาใหม่ๆ ตลอดเวลา เวลานี้ชาวเลใน จ.พังงา เกือบทั้งหมดจึงเป็นผู้บุกรุกเฉกเช่นเดียวกัน ยังไร้หนทางเยียวยา ทั้งที่ทำกิน ที่ดินอยู่อาศัย ท้องทะเลกว้างไกลไร้ที่หาปลา พื้นที่ทางจิตวิญญาณก็เหือดหาย ชายทะเลที่เคยจอดเรือ นอนหาด ก็กลายเป็นพื้นที่อาบแดดของกลุ่มชาติพันธุ์แปลกใหม่ในอันดามัน
เฉกเช่นนี้แล้วรัฐยังคงไร้ซึ่งหนทางเยียวยา ดูแล คุ้มครองคนเล็กๆ เหล่านี้
ชาวเลเกาะพีพี จ.กระบี่ กลุ่มสุดท้ายที่ถูกวิบากกรรมถล่มซ้ำซ้อนชีวิตอย่างหนักหน่วง แม้มีเพียง 40 ครอบครัวเท่านั้นที่เคยอยู่อาศัยตลอดแนวชายหาดแหลมตง เมื่อสมัยที่ “สมเด็จย่า” เสด็จฯ ลงเยี่ยมชาวเลบนเกาะ ชาวเลจึงบริจาคที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนแปลงหนึ่ง ทำให้มีโรงเรียนบ้านแหลมตงเกิดขึ้นมา
แต่ต่อมา การท่องเที่ยวเข้ามาถึงเกาะพีพี ทำให้ชาวเลถูกเบียดขับด้วยช่องว่างของกฎหมาย ความไร้ซึ่งความรู้ ทางการศึกษาที่ไม่เท่าทัน ที่ดินทั้งหมดก็กลายเป็นของเอกชนโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แล้วโรงแรมก็ผุดขึ้นไล่ชาวเล กวาดต้อนให้ไปรวมอยู่ด้วยกันที่มุมหนึ่งในพื้นที่ 2 ไร่กว่าๆ แต่ต่อมาที่ดินแปลงดังกล่าวถูกกล่าวอ้างว่าเป็นของเอกชน แถมเตรียมการฟ้องขับไล่ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้อีก
“เด็กๆ เดินไป-กลับโรงเรียน ก็เดินชายหาด ผ่านนักท่องเที่ยวมี่นอนอาบแดดทุกวัน ส่วนทางเข้าโรงเรียนก็ต้องผ่านโรงแรมด้วย ต้องลอดรั้วกำแพงโรงแรมเพื่อเข้าโรงเรียนทุกวัน บางครั้งนักท่องเที่ยวก็จะเดินใส่ชุดว่ายน้ำผ่านโรงเรียนด้วยซ้ำ ลูกหลานเราเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นทุกวี่วัน” ผู้นำชาวเลเกาะพีพีเล่าให้เราฟัง
“จนอาจกลายเป็นความล่อแหลมต่อชีวิตเยาวชนของชาวเลเรา”
อย่างไรก็ตาม ชาวเลอันดามันได้รวมตัวกันหลังเหตุการณ์สึนามิ เพื่อฟื้นฟูชุมชน พัฒนาคุณภาพชีวิต และเชื่อมร้อยกันเป็นเครือข่ายชาวเลอันดามัน เพื่อผลักดันการแก้ปัญหากับที่มาจากนโยบายรัฐบาล จนมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 เรื่องฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล คุ้มครองทางวัฒนธรรม อาชีพ การหากินทางทะเล ที่อยู่อาศัย และการกำหนดให้เป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ
แต่นั่นเป็นเพียง “ตราประทับ” ทางนโยบาย ซึ่งไม่มีหน่วยงานไหนปฏิบัติอย่างจริงมากนัก
สถานการณ์ต่างๆ ยังทำให้ชาวเลถูกคดีเพิ่มขึ้น ถูกข้อหาบุกรุกอุทยานทางทะเล ถูกโทษฐานจับสัตว์น้ำในเขตอุทยาน ซึ่งนั่นพิสูจน์ว่า “บางหน่วยงาน” ไร้ซึ่งความจริงจังในการแก้ปัญหา แต่กลับทำให้ปัญหาลุกลามจนไม่มีความมั่นคงใดๆ กับกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มเล็กบนชายฝั่งทะเลอันดามันของไทย
เขตคุ้มครองทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 แต่หน่วยงานในพื้นที่ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติใดๆ ได้เลย จนทำให้ปัญหาชาวเลยังคงคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา และพร้อมที่จะเกิดการปะทะ อันเนื่องจากขัดแย้งกับทั้งเอกชนและหน่วยรัฐทุกค่ำเช้า
ทำให้การเคลื่อนไหวของชาวเลต้องยกระดับร่วมกันเพื่อผลักดันให้มี “กฎหมาย” ออกมาเพื่อแก้ปัญหา นั่นคือเป้าหมายที่เครือข่ายชาวเลอันดามันได้พยายามลุกขึ้นเรียกร้องและเดินหน้าออกแบบกันไว้แล้ว แต่พลังก็ยังไม่มากพอที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายได้
หรือถึงคราที่พี่น้องผู้ร่วมชะตากรรมทั่วภาคใต้และทั่วประเทศไทยต้องร่วมสนับสนุน เรียนรู้ และทำความเข้าใจปัญหาเหล่านี้ มากกว่าแค่มองเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ปัญหาไม่เคยได้รับการแก้ไข
ดังนั้น ถึงเวลาหรือยังที่กระบวนการ “คนทุกข์ สร้างสุข” ที่ภาคใต้ในนาม “สมัชชาประชาชนภาคใต้” ต้องร่วมมือร่วมใจกันบอกเล่าเรื่องราว และร่วมกันผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาถึงในระดับนโยบาย ก่อนที่จะสิ้นกลุ่มชาติพันธุ์ “ชาวเล” อันถือเป็นกลุ่มสุดท้ายของภาคใต้ไปในที่สุด
“สมัชชาประชาชนภาคใต้” จะกลายเป็นพลังร่วม รวมพลังคนเล็กคนน้อย เพื่อบอกเรื่องราวเจ็บลึกภายใต้การครอบงำของอำนาจ กฎหมาย และการกดทับที่ตอกย้ำอยู่บนคนเล็กๆ เหล่านี้ ให้สามารถลืมตาอ้าปากได้
ต่อไปในผืนดินปักษ์ใต้ แม้จะมีองค์กรสนับสนุน หนุนเสริมในกระบวนการชุมชนที่จริงจังอยู่มากแล้ว แต่ยังคงต้องมีพื้นที่ในการแสดงออกทางสังคม เพื่อให้เกิดเรียนรู้ของสังคมอย่างมีพลัง หาใช่รูปแบบเดียวอีกต่อไป