xs
xsm
sm
md
lg

ธนู แนบเนียน : การมีส่วนร่วมของประชาชนคือ “หัวใจของการอนุรักษ์”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 
โดย.. เพิ่มศักดิ์ โตสวัสดิ์

ท่ามกลางความกระตือรือร้นของภาครัฐที่ต้องการจะเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้เกือบ 40 ล้านคน ในปีนี้ แต่ขณะเดียวกันกรมอุทยานแห่งชาติฯ ก็ออกประกาศปิดหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี และออกมาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังหมู่เกาะสุรินทร์และหมู่เกาะสิมิรัน เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศน์ เนื่องจากที่ผ่านมาแหล่งท่องเที่ยวทั้ง 2 แห่ง เสื่อมโทรมจากกองทัพนักท่องเที่ยวที่ไหลบ่าเข้าไปกระทำชำเราธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยัง

ความย้อนแย้งในเรื่องดังกล่าวทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าภาครัฐ มีการวางแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรัดกุมหรือไม่ รวมทั้งตระหนักถึงศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของประเทศว่ามีความพร้อมในการรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวมากน้อยขนาดไหน

“ผมว่า อย่าไปโทษภาครัฐเลย” ธนู แนบเนียน ผู้ประสานองค์กรความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอันดามัน (ARR) เอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ยินคำถามนี้ พร้อมกับกล่าวต่อไปว่า

“จริงๆ แล้วภาครัฐก็คงจะหวังดี อยากเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน แต่ด้วยการที่องค์ความรู้เขาจำกัด ประกอบกับผู้ที่วางแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวอาจจะเป็นเพียงกลุ่มบุคคลเล็กๆ อยู่ในส่วนกลางซะมากกว่า จึงทำให้แผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐ ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่สักเท่าไร”

แม้จะไม่ใช่นักวิชาการด้านการอนุรักษ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่จากประสบการณ์ทำงานด้านการอนุรักษ์กว่า 3 ทศวรรษ คงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า ธนู ไม่ใช่คนหน้าใหม่ในวงการนี้แต่อย่างใด ธนูเล่าให้ฟังว่า เขาเริ่มจับงานอนุรักษ์มาตั้งแต่ยังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 3 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน เนื่องจากเป็นคนที่รักและผูกพันกับท้องทะเล

“คือ ผมเป็นคนภูเก็ต แม้บ้านจะไม่ได้ติดทะเล แต่เราก็จัดว่าเป็นลูกทะเลคนหนึ่ง เพราะตอนเด็กๆ ถ้ามีเวลาว่าง ผมกับเพื่อนๆ ก็จะไปเล่นน้ำหรือไม่ก็ตกปลาริมทะเล พอโตมาหน่อยก็ตามไต๋เรือแถวบ้านไปออกทะเล เราก็รู้สึกผูกพันกับชายฝั่งบ้านเรา ก็เลยไปร่วมกับเพื่อนๆ ทำกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พอในปี 2533 ชาวบ้านไม้ขาว ที่อำเภอถลาง มีโครงการอนุรักษ์เต่ามะเฟือง ซึ่งเป็นเต่าทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็เลยไปร่วมกับเขาจัดดนตรีระดมทุนให้กับโครงการนี้”

ความสำเร็จในกิจกรรมดังกล่าว ทำให้ธนูเริ่มสนใจงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ต่อมาในปี 2535 จึงได้ร่วมกับประชาชนในพื้นที่ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต รณรงค์ป้องกันผืนป่าชายเลนจากการบุกรุกทำนากุ้งและการบุกรุกเข้ายึดคอรงป่าชายเลนเสื่อมโทรมจากการทำเหมืองแร่ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรป่าชายเลน เพื่อให้เป็นป่าชายเลนชุมชน

เมื่อโครงการสำเร็จ จึงได้ขยายออกไปยังหมู่บ้านชายฝั่งรอบอ่าวพังงาและกระบี่ ในปี 2539 มีประชาชนเข้ามาร่วมโครงการ ทั้งหมด 47 หมู่บ้าน โดยกรมป่าไม้อนุญาต ให้จัดตั้งเป็นป่าชุมชน 26 หมู่บ้าน คิดเป็นพื้นที่ป่า ทั้งหมด 43,885 ไร่
 

 
ธนูพูดถึงโครงการดังกล่าวให้ฟังว่า “เราใช้เวลาทำโครงการนี้ประมาณ 4 ปี ที่สำเร็จก็เพราะว่า ผมไม่ได้ทำคนเดียว แต่เพราะพี่น้องในพื้นที่เขาช่วยกันคิด ช่วยกันออกแบบ และให้ความร่วมมือ เมื่อเราให้เขาออกแบบอนาคตเอง พวกเขาก็รู้ว่า สิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ และสิ่งที่กำลังจะทำ มันดีกับพวกเขาอย่างไร ดังนั้นความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่จึงไม่ใช่เรื่องยากเลย”

นอกจากโครงการดังกล่าวแล้ว ธนูยังเข้าไปมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูความเข้มแข็งให้กับชุมชนประมงพื้นบ้านรอบอ่าวพังงา ด้วยการส่งเสริมให้ชาวประมงเหล่านี้ก่อตั้งเครือข่ายองค์กรพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้สามารถพึ่งตนเองได้ และเครือข่ายการฟื้นฟูการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ขึ้นมาในระดับหมู่บ้าน จำนวน 24 องค์กร และระดับเครือข่าย จำนวน 33 องค์กร

หากดูจากตัวเลขความสำเร็จ อาจจะดูเหมือนว่างานของธนู เป็นเรื่องง่าย แต่ในเวลาการทำงานจริงๆ แล้ว ทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคเสมอ การทำงานของธนูก็เช่นกัน แม้ว่าจะใช้การพูดคุยและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย แต่บ่อยครั้งก็ได้รับการต่อต้าน โดยไม่ฟังอะไรเลยจากคนบางกลุ่ม หนักๆ เข้าก็โดนข่มขู่คุกคามเอาชีวิต

อย่างเช่นเหตุการณ์ที่ธนู พร้อมทีมงานลงไปช่วยชาวบ้านเกาะยาว จังหวัดพังงา รณรงค์ให้ยกเลิกการใช้เครื่องมือประมงแบบทำลายล้าง เช่น อวนรุน อวนลาก และอวนล้อมไฟปั่นปลากระตัก เพื่อให้สัตว์ทะเลและสภาพแวดล้อมสามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ต่อมาเขาได้เสนอให้ยกระดับ การรณรงค์ด้วยการประสานไปยังเครือข่ายประมงพื้นบ้านรอบอ่าวพังงา ให้มาร่วมกันยื่นข้อเสนอเหล่านี้ให้กับภาครัฐ จนในที่สุดได้มีการประกาศห้ามใช้เครื่องมือทำประมงแบบทำลายล้าง

เรื่องนี้ทำให้ชาวประมงบางกลุ่มสูญเสียผลประโยชน์ เพราะสามารถจับสัตว์น้ำได้น้อยลง พวกเขาจึงหันมาโทษธนูและทีมงานว่าเป็นต้นเหตุแห่งความยุ่งยาก และได้ส่งคนมาข่มขู่ให้ธนูและเพื่อนร่วมงานออกไปจากพื้นที่

“ถามว่า กลัวไหม ผมไม่กลัวนะ เพราะเราเตรียมใจมาก่อนแล้วว่า ทำงานด้านนี้มันก็ต้องมีเรื่องแบบนี้บ้าง ก็ไม่ตกอกตกใจอะไร อีกอย่างเราถือว่า เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง หากเรายกเลิกเครื่องมือเหล่านั้นไป มันจะทำให้พี่น้องประมงรอบอ่าวพังงา ไม่เหนื่อยในระยะยาว เพราะเมื่อสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ พวกเขาก็ไม่ต้องไปหากินไกล” 

โดยปกติผู้ที่ทำงานในภาคประชาชนมักจะมีภาพลักษณ์ว่า มีแนวคิดขวางโลกและไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งต่อต้านภาครัฐ แต่สำหรับธนูแล้ว ประสบการณ์ในการทำงานได้สอนให้เขารู้จักกับการเดินสายกลาง เพราะหากตึงเกินไปก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่หากหย่อนเกินไปก็จะไม่สามารถรักษาอะไรไว้ได้เช่นกัน ขณะเดียวกันก็แสวงหาความร่วมมือจากภาครัฐไปพร้อมกันด้วย

“ผมมีหลักการทำงานที่ว่า ถ้าจะอนุรักษ์แล้วคนในพื้นที่ต้องอยู่ได้ และต้องอยู่ได้อย่างยั่งยืน ผมไม่รังเกียจการทำงานกับภาครัฐ เพราะไม่ใช่แต่ภาคประชาชนฝ่ายเดียวที่อยากเห็นธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จากการที่มีโอกาสทำงานร่วมกับภาครัฐ ผมเชื่อว่า ภาครัฐก็อยากเห็นความยั่งยืนเกิดขึ้นในประเทศนี้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่า เราอาจจะมีวิธีในการทำงานต่างกัน ทั้งจากบริบทในด้านสังคมและกฎหมาย”

การยอมเปิดใจทำงานร่วมกับภาครัฐ ทำให้ธนูมีโอกาสนำเสนอมุมมองรวมทั้งแลกเปลี่ยนแนวคิดของปัญหาและอุปสรรคในการทำงานด้านการอนุรักษ์ให้ภาครัฐได้เข้าใจว่า เหตุใดโครงการอนุรักษ์ขนาดใหญ่จากภาครัฐจึงมักถูกต่อต้านจากประชาชน

“ที่มันเป็นแบบนี้เพราะว่า เราขาดการบูรณาการในการทำงาน ไม่เฉพาะในส่วนของภาครัฐอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงภาครัฐกับภาคประชาชน และที่สำคัญก็คือ การที่เราไม่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการคิด การวางแผน การจัดการ มันก็ทำให้เกิดการเดินไปคนละทาง”
 


 
เหตุนี้เองธนู จึงได้พยายามผลักดันให้ภาครัฐยอมให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารและจัดการทรัพยากรในพื้นที่ด้วย ซึ่งหลังจากพยายามอยู่นาน ในที่สุดแนวคิดของเขาก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อ พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 สามารถประกาศใช้เป็นผลสำเร็จ

โดยสาระสำคัญของ พรบ.ฉบับนี้ เปิดโอกาสให้มีคณะกรรมการนโยบายระดับชาติ และคณะกรรมการ ระดับจังหวัด ซึ่งมีตัวแทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนจากภาคประชาชน หรือชุมชนชายฝั่ง เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง

"ผมเชื่อว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนคือหัวใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม จะทำให้ภาครัฐทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะสถานะของประชาชนได้เปลี่ยนมาเป็นผู้ดูแลทรัพยากรอย่างเต็มตัว เขาก็จะเกิดความรู้สึกหวงแหนมากขึ้น ได้ลงไปดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแลอย่างจริงจังมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ถูกกันอยู่ด้านนอก รอรับคำสั่งจากภาครัฐ อันไหนห้าม อันไหนให้ ซึ่งหลายๆ ครั้งมันก็ไม่สอดคล้องกับสภาพของแต่ละพื้นที่ การที่ภาครัฐเปลี่ยนบทบาทมาเป็นเพียงผู้กำกับ ก็ทำให้พวกเขาไม่ต้องเหนื่อย เพราะบุคลากรเขาก็น้อยอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังได้เครือข่ายในการเป็นหูเป็นตาเพิ่มขึ้น มันก็เกิดการ Win-Win"

ธนูยังได้ขยายแนวคิดการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการวางทิศทางพัฒนาท้องถิ่นด้วยการจัดตั้ง “กลุ่มภูเก็ตจัดการตนเอง” ขึ้นมา เนื่องจากมองว่า หลายครั้งที่นโยบายการพัฒนาภูเก็ตจากส่วนกลางไม่ตอบสนองต่อคนภูเก็ต แต่กลับไปเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลหรือกลุ่มทุนบางกลุ่มในส่วนกลางหรือจากต่างประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ในบางครั้งแผนการพัฒนาที่ถูกออกแบบมาจากส่วนกลางยังก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการจราจร ปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งปัญหาสังคม 

โดยกลุ่มภูเก็ตจัดการตนเองจะจัดเวทีพบปะพูดคุยระหว่างสมาชิก นักวิชาการ นักธุรกิจ ผู้นำชุมชนและท้องถิ่น ทุก 2 เดือน เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่จากการพัฒนาที่ขาดสมดุล รวมทั้งหาแนวทางแก้ไขเบื้องต้น เพื่อนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันก็ระดมความคิดเห็นจากสมาชิก เพื่อออกแบบการพัฒนาที่เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ โดยมุ่งหวังที่จะใช้เป็นแผนแม่บทในการขับเคลื่อนจังหวัดภูเก็ตให้ก้าวหน้าไปในแนวทางที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่

“ผมไม่ได้มองว่าการวางแผนจากส่วนกลางมันไม่ดี ในบางบริบทมันอาจเป็นสิ่งดี แต่การพัฒนาทุกครั้ง มันควรมีการปรับปรุง เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป เราต้องยอมรับความจริงว่า บางครั้งสิ่งที่ส่วนกลางออกแบบมาให้ มันไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมท้องถิ่น แถมบางครั้งกลับสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น”

“ส่วนกลางควรจะถามเราว่า ต้องการได้โครงการนั้น โครงการนี้ไหม ไม่มีใครรู้เรื่องท้องถิ่นดีเท่ากับคนในพื้นที่บางครั้งโครงการที่ประสบความสำเร็จในที่หนึ่งอาจจะไม่ประสบความสำเร็จอีกที่หนึ่งก็ได้ การทำงานทุกโครงการไม่ว่าจะเรื่องการอนุรักษ์ หรือการพัฒนาบ้านเมือง หัวใจสำคัญคือ การมีส่วนร่วมของประชาชน การดึงดันที่จะทำโดยไม่ฟังเสียงของคนในพื้นที่ก็เหมือนกับเป็นการยัดเยียดความเจริญที่พวกเขาไม่ต้องการ”
 
 




กำลังโหลดความคิดเห็น