xs
xsm
sm
md
lg

ชกหมัดตรง : ผ่าโครงสร้างใหม่ “ศอ.บต.” ฝีมือ “บิ๊กป้อม” ใต้ปีกรัฐบาลทอปบู๊ต / จากองค์กรมีกฎหมายรองรับสร้างประโยชน์อเนกอนันต์ต่อชายแดนใต้ ต้องกลายเป็นลูกกะจ๊อก “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” / ผึ้งกำลังแตกรัง ความหวังหดหาย แล้วใครช่วยได้?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
 
พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต.
 
การที่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ถูกปรับเปลี่ยนชนิดที่ต้องเรียกว่า “รื้อโครงสร้าง”ใหม่ครั้งล่าสุด ต้องถือว่าเป็น “ชะตากรรม” ใน “อุ้งเล็บ” ของ รัฐบาลทหาร ภายใต้ปีกโอบของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) อย่างแท้จริง ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ “น่าอนาถ” เป็นอย่างยิ่งที่องค์กรซึ่งเคยสร้างประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ต่อการแก้ปัญหาให้กับแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้มาต่อเนื่องยาวนาน แต่เวลานี้กลับถูก “บอนไซ” ให้กลายเป็นองค์กรที่เกือบจะไม่เอื้อประโยชน์ต่อ “คนในพื้นที่” เพราะโครงสร้างใหม่ภายใต้การ “ออกแบบ” ของพี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมในครั้งนี้ ได้ทำให้ “องค์กรพิเศษ” กลายเป็น “ส่วนเกิน” ขององคาพยพที่จะใช้ในการ “ดับไฟใต้” หรืออาจจะบอกว่ากลายเป็นชิ้นส่วนที่ “เกะกะ” หรือ “ขวางหูขวางตา” ไปเสียด้วยซ้ำ
 
ข้อเท็จจริงที่รู้กันมานานแล้วก็คือ มีความพยายามอย่างยิ่งจาก “ฝ่ายความมั่นคง” ในการเดินหน้า “ยุบทิ้ง” องค์กรพิเศษอย่าง ศอ.บต. มานานแล้ว ยิ่งตั้งแต่ปี 2553 ที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่า “พ.ร.บ.ศอ.บต.” ที่ยกระดับให้มี “ข้าราชการระดับ 11” นั่งเป็น “เลขาธิการ ศอ.บต.” และให้ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เพียงแต่ในครั้งนั้นกระทำไม่สำเร็จ เพราะ “รัฐบาลพลเรือน” ที่มาจากการเลือกตั้งไม่เห็นด้วย และคนในพื้นที่ยังต้องการที่จะให้มีองค์กรพิเศษนี้อยู่ นอกจากนั้นยังเป็นผลจาก “สภาที่ปรึกษาฯ ศอ.บต.” มีบทบาทสำคัญในการ “ขัดขวาง” มิให้องค์กรถูก “เด็ดยอด” ทิ้งไป
 
ถ้าย้อนอดีตกลับไปไกลกว่านั้นก็จะเห็นถึงชะตากรรมของ ศอ.บต.ภายใต้รัฐบาลที่ต้องการสร้าง “รัฐตำรวจ” ที่เวลานั้นถูกทั้ง “ฝ่ายการเมือง” และ “ฝ่ายความมั่นคง” รวมหัวกันกระทำย่ำยีมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยที่ นายทักษิณ ชินวัตร ยังใช้คำหน้าชื่อด้วย “พ.ต.ท.” ก่อนที่จะถูกถอดยศในภายหลัง ตอนที่หันมาเล่นการเมืองแล้วได้นั่งเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งนั้นมี ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ดูแลงานความมั่นคงให้รัฐบาล ปรากฏว่าพวกเขาเชื่อกันว่าความรุนแรงในชายแดนใต้เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่รบกับ “โจกกระจอก” จึงไฟเขียวให้มีการ “ยุบทิ้ง ศอ.บต.” แต่ต่อมาสถานการณ์ไฟใต้ยิ่งรุนแรงขึ้น อีกทั้งทนต่อกระแสเรียกร้องจากสังคมไม่ไหว รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งเป็นลมใต้ปีกของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) จึงได้มีคำสั่งให้ตั้ง ศอ.บต.ขึ้นมาใหม่ แต่ก็เป็นไปแบบ “เถื่อนๆ” เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ
 
จากนั้นในยุค รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่ง พรรคประชาธิปัตย์ ขวัญใจชาวสะตอที่มี นายถาวร เสนเนียม นั่งแท่น รมช.มหาดไทย ก็ได้ผลักดันอย่างแข็งขันให้มี “พ.ร.บ.ศอ.บต.” ขึ้นมารองรับองค์กรพิเศษแห่งนี้อย่างเป็นทางการ แถมลุงทุนลงไปนั่งบัญชาการด้วยตัวเองถึงอาคารสำนักงาน ศอ.บต.ที่ จ.ยะลา และนับแต่นั้นเองที่ได้กลายเป็น “หนามยอกอก” ของฝ่ายความมั่นคงต่อเนื่องมา เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะถูกมองว่างานของ ศอ.บต.ไป “ทับซ้อน” กับงานของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แถมตำแหน่งของ เลขาธิการ ศอ.บต. ก็ดันไป “กดทับ” ตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 4 เข้าอย่างจัง นี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความพยายามที่จะ “กุดหัว” องค์กรพิเศษอย่าง ศอ.บต. แต่ก็ทำได้ด้วยการ “บอนไซ” ให้เป็นองค์กรที่ “เล็กลง” และ “ขึ้นตรง” กับหน่วยงานปกติอย่าง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า นั่นเอง
 
และแล้วความคิดของหน่วยงานความมั่นคงก็สมหวังจนได้ เมื่อ รัฐบาลทอปบู๊ต ได้เข้ามานั่งบริหารประเทศ ช่วงแรกๆ ก็ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่มีอยู่ให้มีการยกเว้นการบังคับใช้ พ.ร.บ.ศอ.บต.ในหลายมาตรา โดยเฉพาะในส่วนของการ “ไม่ให้มี” องค์กรสำคัญอย่าง สภาที่ปรึกษาการบริการและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเข้าใจง่ายๆ ก็เรียก สภาที่ปรึกษาฯ ศอ.บต. ซึ่งสมาชิมีส่วนผสมที่มาจาก “การเลือกตั้ง” อยู่ด้วย เพราะไม่ต้องการให้ตัวแทนของประชาชนไป “มีปากเสียง” ในเชิง “คัดง้าง” อะไรต่อมิอะไรกับฝ่ายความมั่นคง
 
กระทั้งเวลานี้สมหวังไปอีกกว้ากับทำให้องค์กรพิเศษอย่าง ศอ.บต.กลายเป็น “ไม่มีปากเสียง” เอาเลยด้วย ซึ่งหากไม่เรียกว่าองค์กรพิเศษอย่าง ศอ.บต.ต้อง “ถูกกระทำย่ำยี” จากผู้มีอำนาจที่มี “ธงนำ” อยู่ในใจแล้ว สังคมไทยควรจะเรียกการกระทำในลักษณะนี้ว่าอะไรดี ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าหน่วยงานพิเศษอย่าง ศอ.บต.นับตั้งแต่ รัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารประเทศก็ได้ถูก “บ่อนเซาะ” และถูกสั่งให้ “ซ้ายหัน ขวาหัน” ได้แบบเดียวกับ “กองทัพ” ที่ได้กลายเป็นหน่วยงานที่ไม่เอื้อประโยชน์กับการแก้ปัญหาในทุกบริบทของสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
โครงสร้างใหม่ ศอ.บต.ที่เพิ่งถูกปล่อยผ่านเพจเฟซบุ๊ก กรองข่าวชายแดนใต้
 
อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาอง์กรพิเศษอย่าง ศอ.บต.เองก็มี “ความอื้อฉาว” เกิดขึ้นด้วย โดยมักปรากฏ “ข่าวไม่โปร่งใส” ในเรื่องของการ “จัดซื้อจัดจ้าง” ในหลายโครงการ นับตั้งแต่เรื่องราวของเสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ สนามฟุตซอล มัสยิด 300 ปี การซ่อมแซมโรงแรมชางลี ตู้น้ำเทวดา และเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็ไม่สามารถ “ตอบคำถาม” คนในพื้นที่และสังคมวงกว้างได้ว่า “โกง” หรือ “ไม่โกง”อย่างไร ทั้งที่แต่ละโครงการเป็นเรื่องที่ชี้แจงทำความเข้าใจในข้อเท็จจริงได้ทั้งนั้น
 
นอกจากนั้นยังมีการประเด็นสำคัญอื่นๆ ผสมโรงด้วย อย่างกรณีถูก “ไทยพุทธ” ในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย ซึ่งเวลานี้ถูกทำให้เป็น “คนกลุ่มน้อย” อย่างน่าใจหาย กล่าวหาว่า “บทบาทหน้าที่” ของ ศอ.บต.เวลานี้ “ขาดความสมดุล” อย่างไม่น่าอภัย เพราะมุ่งแต่ไปดูแลเอาใจใส่เฉพาะ “มุสลิม” ที่ถูกทำให้เป็น “คนหมู่มาก” อย่างชัดเจนขึ้น แต่กลับ “ละเลย” คนศาสนิกอื่นๆ จนพวกเขาต้องออกมาเรียกร้องความเท่าเทียม ซึ่งดูได้จากที่ผ่านมาถึงขั้นเคยมีการ “ประณาม” อย่าง “สาดเสียเทเสีย” พุ่งเป้าไปที่ ผู้บริหาร ศอ.บต. มาแล้ว
 
โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีมานี้ แม้ผู้บริหาร ศอ.บต.จะได้รับเครดิตว่าเป็น “คนดี” แต่ก็เพราะไม่เคยคิดใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในองค์กรสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับทั้งกลุ่มคนไทยพุทธและสังคมไทย ไม่เพียงเท่านั้นกลับไม่เคยมีการแสดงความพยายาม “ต่อสู้” กับบรรดาผู้มีอำนาจที่รู้อยู่เต็มอกว่า พวกเขามีความต้องการบอนไซ ศอ.บต. แต่กลับนำองค์กรให้อยู่ไปวันๆ เพื่อให้พ้นภาระหน้าที่ไม่ต่างจากระบบ “ดีครับนาย ได้ครับผม เหมาะสมครับท่าน” สุดท้ายการรื้อใหญ่โครงสร้างของ ศอ.บต.จึงเกิดขึ้นและเป็นไปอย่างที่เห็น
 
เวลานี้องค์กรพิเศษอย่าง ศอ.บต.จากที่เคยมีถึง “10 สำนัก” จึงเหลือเพียง “5 กอง” กับ “5 ภารกิจ” ส่วนที่หายไปมีทั้งบทบาทหน้าที่ด้านยุติธรรม การคศึกษาและศาสนา สังคมจิต เยียวยา และอื่นๆ ซึ่งจาก “องค์ขนาดใหญ่” ที่มีภารกิจมุ่งสร้างประโยชน์เพื่อให้เกิดสันติสุขแก่ประเทศชาติและประชาชน ซึ่งมีกฎหมายรองรับเป็นการเฉพาะด้วย แต่ต้องมากลับกลายเป็น “หน่วยงานอำนวยการเล็กๆ” แถมยังถูกทำให้ต้อง “ขึ้นตรง” กับหน่วยงานย่อยของ กองทัพภาคที่ 4 นั่นก็คือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อันถือเป็นองค์กรที่เป็นของรัฐและเพื่อประโยชน์ของรัฐเต็มร้อย
 
โดยข้อเท็จจริงงานของ ศอ.บต.คือการ “เติมเต็ม” หน่วยงานอื่นๆ และเป็นงานที่เน้น “บูรณาการ” ทุกหน่วยงานรัฐในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งไม่ใช่งานที่ซ้ำซ้อนกับภารกิจของฝ่ายความมั่นคงแต่อย่างใด และโดยข้อเท็จจริงอีกเหมือนกันที่หน่วยงานความมั่นคงต่างหากได้หันกลับมาทำหน้าที่ที่ซ้ำซ้อนกับบทบาทของ ศอ.บต.ในมิติงานรับผิดชอบของ “ฝ่ายพลเรือน” ดังนั้นฝ่ายความมั่นคงจึงควรที่จะต้อง “ยกเลิกงาน” ที่ทำแล้วกลายเป็นการทำซ้ำซ้อนกับงานของ ศอ.บต.ต่างหาก และที่ควรเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ศอ.บต.เป็นหน่วยงานพลเรือนที่ “ประชาชน”สามารถ “เข้าถึง” และ “เชื่อถือ” รวมทั้ง “เชื่อใจ” ได้มากกว่าหน่วยงานที่ต้องมีกองกำลังติดอาวุธ และถ้ากลับไปดูผลงานวิชาการของสถาบันการศึกษาที่เคยมีการวิจัยไว้ชัดจะพบว่า ประชาชน “เชื่อมั่น” ใน ศอ.บต.มากถึงอันดับ 4 ขณะที่ศาลอยู่อันดับ 2 และ กอ.รมน.อยู่อันดับ 7 ดังนั้นถ้าต้องการให้ประชาชนมีหน่วยงานที่เป็นที่ “พึ่งพิงได้” ก็ควรที่จะให้บทบาทกับ ศอ.บต.ให้มีความสำคัญในชายแดนใต้นั่นจึงถูกต้อง
 
แท้จริงแล้วปัญหาความตกต่ำของ ศอ.บต.ไม่ได้เป็นความผิดของ “โครงสร้างองค์กร” เพราะเป็นการทำหน้าที่บูรณาการและเติมเต็มให้กับหน่วยงานรัฐอื่นๆ แต่เกิดจากการ “ขาดภาวะผู้นำ” เพราะคนยืนแถวหน้าทั้งขาดวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ ประสบการณ์และไร้จิตวิญญาณในการต่อสู้เพื่อรักษาองค์กรใช่หรือไม่ ทราบจากคนในหน่วยงานความมั่นคงว่าก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างครั้งนี้ พล.ร.ต.สมเกียรติ ประยูรผล รองเลขาธิการ ศอ.บต.ได้พยายามอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจกับผู้มีอำนาจ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
 
เมื่อถึงขั้นนี้แล้วต้องยอมรับว่าโครงสร้างใหม่ได้สร้าง “ความระส่ำระสาย” ให้กับ “บุคลกร” ของ ศอ.บต.อย่างใหญ่หลวง เวลานี้มีผู้ที่รู้ถึงชะตากรรมมาก่อนได้วิ่งเต้นให้ได้ออกไปจากองค์กรนี้ไปแล้วจำนวนหนึ่ง ส่วนที่ยังไปไหนไม่พ้นก็อยู่ในภาวะเสียขวัญ เสียกำลังใจกันแทบจะทั้งหมด เพราะมอง “ไม่เห็นอนาคต” ของทั้งองค์กรพิเศษอย่าง ศอ.บต.และของตนเอง ส่วนคนในชายแดนใต้ที่มี “ความพันผูก” กับ ศอ.บต.มายาวนาน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิมมากกว่าไทยพุทธ ซึ่งก็เป็นไปตามสัดส่วนประชากรของพื้นที่นั้น นับแต่นี้ไปก็คงจะ “หวังพึ่งพา” ศอ.บต.ได้น้อยลง ซึ่งก็ต้องติดตามต่อไปว่าสถานการณ์ข้างหน้าจะที่ “ดีขึ้น” หรือ “เลวลง” ทั้งในเรื่องของความไม่สงบและรุนแรง
 
สุดท้าย “โรงแรมชางลี” ที่เพิ่งทุ่มงบปรับปรุงหลายร้อยล้าน รวมถึง “ที่ทำการเดิม” ที่มีอยู่แล้วในเมืองยะลา ทั้ง 2 ส่วนนี้จะถูกบริหารจัดการอย่างไรภายใต้โครงสร้างใหม่ที่ทั้ง “คนน้อย” ประกอบกับ “งบน้อย” และที่สำคัญ “ภารกิจน้อย” ลงน่าใจหาย ต่อแต่นี้ ศอ.บต.จะเดินไปทางไหน เพื่อใคร คำตอบคงอยู่ที่ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร ที่ได้มานั่งแท่นเลขาธิการ ศอ.บต.คนใหม่ ซึ่งนี่ก็คือ “ธง” ของฝ่ายความมั่นคงด้วยเช่นกัน
 


กำลังโหลดความคิดเห็น