ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - สะพัด! เวทีรับฟังความคิดเห็นเหมืองระเบิดหินใน ต.ป่าแก่บ่อหิน อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล จ่ายหัวละ 1,000-5,000 บาท แลกกับเอกสารยินยอมให้มีการระเบิดหิน “เขาลูกเล็กลูกใหญ่” แฉกระบวนการมีส่วนร่วมไม่โปร่งใสมาตั้งแต่เริ่มต้น เผย จ.สตูล มีปริมาณแร่ธาตุสำรองมูลค่าเกือบ 20 ล้านล้านบาท ทั้งยังพบแร่ธาตุหายากที่เป็นวัสดุสำคัญต่อเทคโนโลยีชั้นสูงหลายชนิด ตะลึง! บริษัทต่างชาติสำรวจพบสายแร่ทองคำ 2 หมื่นไร่ ตั้งแต่ปี 52 แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้
วันนี้ (23 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวซึ่งเป็นตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่ ต.ป่าแก่บ่อหิน อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล ว่า วานนี้ (22 ก.ย.) ทางบริษัทที่ปรึกษาของบริษัท สตูลไมน์นิ่ง จำกัด ผู้ยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน บริเวณ “เขาลูกเล็กลูกใหญ่” เนื้อที่ 149 ไร่ 2 งาน 81 ตารางวา ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 3, 6 และ 7 ต.ป่าแก่บ่อหิน อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ขอประทานบัตร โดยจัดรับฟังความคิดเห็น ณ ที่ทำการ อบต.ป่าแก่บ่อหิน โดยมีประชาชนทั้ง 3 หมู่บ้าน เดินทางมาร่วมเวที
โดยแหล่งข่าวรายนี้เปิดเผยว่า การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของบริษัทที่ยื่นขอประทานบัตรการระเบิดหินในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อเดือน มี.ค.60 ที่ผานมา บริษัทที่ปรึกษาของผู้ยื่นขอประทานบัตรได้ประสบความล้มเหลวในการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 28 มี.ค.60 ที่ผ่านมา เนื่องจากถูกชาวบ้านที่เป็นห่วงเรื่องผลกระทบจากการระเบิดหิน จำนวนกว่า 300 คน เดินทางมาแสดงจุดยืนคัดค้านการขอสัมปทานระเบิดหิน จนทำให้เวทีต้องยุติลงกลางคัน จนกระทั่งมาจัดอีกครั้งเมื่อ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ท่ามกลางข้อกังขาของชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยต่อโครงการนี้
“ครั้งก่อนมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายชัดเจนว่าในเอกสารจำนวนมากที่กรอกข้อความระบุว่า เห็นด้วยกับโครงการนี้นั้น แต่ในความเป็นจริงพบว่าเอกสารแสดงความคิดเห็นที่บอกว่าเห็นด้วยกับโครงการนี้นั้น แท้ที่จริงแล้วเอกสารจำนวนมากแต่มีคนกรอกรายละเอียดเพียงคนเดียวซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งทางเครือข่ายประชาชนที่คัดค้านการระเบิดหินได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ยุติโครงการนี้ แต่ไม่เป็นผล มาครั้งนี้ทราบว่า มีการจ่ายเงินให้แก่ชาวบ้าน บ้างก็ว่าคนละ 5,000 บ้างก็ว่าคนละ 1,000 บาท แลกกับการกรอกเอกสารระบุว่าเห็นด้วยกับโครงการ บริษัทอ้างว่ามีชาวบ้านเห็นด้วยกว่า 700 คน แต่มันเป็นกระบวนการที่ชอบธรรมหรือเปล่า” แหล่งข่าวกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขอประทานบัตรเหมืองหินใน จ.สตูล ที่เป็นอีกหนึ่งชนวนความขัดแย้งของชาวบ้านใน ต.ป่าแก่บ่อหิน ครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจาก เมื่อปี 2539 ต่อเนื่อง 2540 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประกาศให้พื้นที่แหล่งหินอุตสาหกรรม จ.สตูล
ประกอบด้วย แหล่งหินที่มีสภาพเป็นภูเขา จำนวน 8 ลูก คือ 1.ภูเขาพลู ต.ควนกาหลง อ.ควนกาหลง 2.ภูเขาจำปา ภูเขาโต๊ะช่าง และภูเขาเณร หมู่ที่ 1 ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง 3.ภูเขาลูกเล็กลูกใหญ่ ต.ป่าแก่บ่อหิน อ.ทุ่งหว้า 4.เขาลูกช้าง โดยเขาโต๊ะกรังเป็นลูกเขาในกลุ่มนี้ ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง 5.เขาวังบุมาก ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง 6.เขาละใบดำ ต.ควนกาหลง อ.ควนกาหลง 7.เขาจุหนุงนุ้ย ต.กำแพง อ.ละงู และ 8.เขาละมุ ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง
ซึ่งในแหล่งหินตามประกาศทั้ง 3 อำเภอ พบว่า เป็นพื้นที่ทับซ้อนกับแหล่งสำคัญทางโบราณคดี และประวัติศาสตร์ธรณีของชาติซึ่งมีความสำคัญในระดับโลกและได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก ให้เป็นอุทยานธรณีโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งกลับพบว่า รัฐบาลยังคงเปิดให้เอกชนเข้ามาขอประทานบัตรทำเหมืองระเบิดหิน ทั้งๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่อุทยานธรณีโลก รวมถึงกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน เนื่องจากภูเขาแต่ละลูกถือเป็นต้นน้ำที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่
ที่ผ่านมา ทางเครือข่ายคัดค้านสัมปทานเหมืองหิน จ.สตูล 3 อำเภอ ได้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และเมื่อวันที่ 28 ส.ค.60 นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร ได้เดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่
โดยพบว่าในจุดที่มีการร้องเรียนของชาวบ้านที่อาศัยรอบเขาบังใบ ต.ฉลุง อ.เมืองสตูล และเขาโต๊ะกรัง ต.ควนโดน อ.ควนโดน จังหวัดสตูล ได้รับคำยืนยันจากนักโบราณคดีแล้วว่า พื้นที่แห่งนี้ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้หลังพบโบราณวัตถุ การอยู่อาศัยของคนยุคโบราณ อีกทั้งพบตาน้ำลำธาร ที่เขาหินปูนนี้ก็ยิ่งตอกย้ำถึงคุณค่าที่ควรอนุรักษ์ไว้ และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนการออกประทานบัตร แต่กระบวนการต่างๆ ยังคงเดินหน้ามาจนถึงขณะนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ จ.สตูล นั้นนับเป็นพื้นที่หนึ่งที่่มีความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งจากการสำรวจของกรมทรัพยากรธรณี พบว่า ใน จ.สตูล มีปริมาณแร่ธาตุสำรองที่มีมูลค่าเกือบ 20 ล้านล้านบาท และนอกจากแร่หินปูนที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างแล้ว หลายคนยังไม่ทราบว่า จ.สตูล ยังพบแร่ธาตุประเภทแร่หายาก (Rare Earth) หลายชนิดที่มีมูลค่าสูง
โดยรายงานกรมทรัพยากรธีณี ระบุว่า ในจังหวัดสตูล จากการเจาะสำรวจพบตามแนวชายหาดบ้านปากละงู บ้านปากบาง บ้านหัวหิน อ.ละงู แร่หายากที่บริเวณนี้ ได้แก่ เซอร์คอน อิลเมไนต์ รูไทล์ ทัวร์มาลีน ลูโคซีน การ์เน็ต แมกนีไทต์ ลิมอไนต์ ซิเดอไรต์ โมนาไซต์ และซีโนไทม์
โดยแร่หายากใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับชนิดแร่ เช่น แร่เซอร์คอน ใช้ในการทำวัสดุทนไฟเซรามิก ฉาบผิวหน้าแบบหล่อ และฉนวนกันความร้อน แร่เซอร์โคเนียม ใช้ในรูปโลหะผสมทำชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องกำเนิดปฏิกรณ์ปรมาณู แร่อิลเมไนต์ รูไทล์ และลูโคซีน เป็นแร่ที่ให้ธาตุไทเทเนียม ใช้ประโยชน์ในการนำมาทำสารสีในอุตสาหกรรมการผลิตสี กระดาษ พลาสติก และใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมอากาศยาน ตั้งแต่โครงเครื่องบิน จนถึงส่วนประกอบต่างๆ ของเครื่องยนต์
นอกจากนี้ ยังพบว่า จ.สตูล เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่รัฐบาลอนุญาตให้เอกชนเข้ามาทำการสำรวจแร่ทองคำ โดยบริษัท อมันตา จำกัด ยื่นขอเมื่อ 2 ก.ค.52 และได้เข้าทำการสำรวจในพื้นที่ ต.น้ำผุด อ.ละงู จ.สตูล เป็นพื้นที่ 4,315 ไร่ และพบมีสายแร่ทองคำอยู่ในเนื้อที่ถึง 2 หมื่นไร่ บริเวณพื้นที่เชื่อมต่อระหว่าง ต.น้ำผุด กับ ต.ทุ่งหว้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นแร่ทองคำที่มีปริมาณ และมูลค่ามหาศาล ทำให้บริษัทจากออสเตรเลียรายนี้ยื่นขอต่อสัมปทานออกไปอีก 5 ปี เพื่อทำการสำรวจให้ชัดเจนอีกยิ่งขึ้น โดยหลายฝ่ายเป็นห่วงว่าการเปิดให้เอกชน และต่างชาติเข้ามาดำเนินการเกี่ยวกับทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญของชาติ โดยไม่เคารพสิทธิชุมชนอาจเป็นชนวนความขัดแย้งที่รอวันปะทุขึ้นในอนาคตก็อาจเป็นได้


