xs
xsm
sm
md
lg

“นายซายูตี” เล่าเหตุการณ์นาทีระทึกอ้างถูก ตร.ชุดจับกุมซ้อมทำร้ายร่างกาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

แฟ้มภาพ
ปัตตานี - นายซายูตี สาและ หนุ่มมายอ ที่อ้างถูกตำรวจชุดจับกุมซ้อม เล่านาทีระทึกขณะถูกทำร้ายร่างกาย เผยจะสู้จนถึงที่สุดเพราะยาไม่ใช่ของตน พร้อมขอความเป็นธรรมให้ตัวเองด้วย

วันนี้ (4 ก.ย.) ความคืบหน้าเหตุกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.มายอ จ.ปัตตานี ได้ทำการควบคุมตัว นายซายูตี สาและ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13 ม.4 ต.ตะโล๊ะแมะนา อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีคดียาเสพติดในพื้นที่รับผิดชอบ จนเป็นเหตุทำร้ายร่างกายสาหัส โดยผู้เสียหายอ้างว่าเจ้าหน้าที่ซ้อมทำร้ายร่างกายเพื่อให้ยอมเซ็นรับสารภาพว่าเป็นเจ้าของยาบ้า 20 เม็ด เหตุเกิดในพื้นที่ บ.เขาวัง หรือบ้านบูเก๊ะแว อ.มายอ เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2561 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ทางพนักงานสอบสวน สภ.มายอ กำลังรวบรวมสำนวนเพื่อส่งอัยการฟ้องในคดียาเสพติด ส่วนทางด้านผู้เสียหาย และญาติได้โร่แจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนดังกล่าว ในข้อหาทำร้ายร่างกายเพื่อให้รับสารภาพ แต่คดีนั้นกลับไม่คืบหน้า

ล่าสุด นายซายูตี สาและ เหยื่อจากการซ้อมทำร้ายร่างกายของเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ.มายอ ได้เปิดเผยวินาทีระทึกขวัญก่อนรอดตายหวุดหวิดว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2561 ผมได้ไปตามรถจักรยานยนต์ที่เพื่อนยืมไป โดยไปตามเมื่อตอนเย็นเวลาประมาณ 16.00-17.00 น. แต่ไม่เจอ จึงโทร.ไปหาแต่ก็ไม่รับสาย ผมจึงได้ถามญาติเขา เขาก็บอกว่าไม่รู้ไปไหนยังไม่กลับบ้าน ผมจึงได้กลับมาที่บ้านในพื้นที่บ้านแลแวะ อ.ทุ่งยางแดง พอตอนค่ำเวลาประมาณ 20.00-21.00 น. ก็ได้มีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งในหมู่บ้านบอกให้ผมช่วยไปรับเพื่อนเขาชื่อ นายแลมัง จะมาเที่ยวที่บ้านแต่ไม่รู้จักทาง

ผมเห็นประจวบเหมาะจะได้ไปตามเพื่อถามหาเรื่องรถด้วย เพราะคนที่จะไปรับกับคนที่ยืมรถเป็นเพื่อนอยู่หมู่บ้านเดียวกัน โดยก่อนออกไปเพื่อนรุ่นพี่คนนั้นได้ให้เบอร์โทรศัพท์ของ นายแลมัง ไว้กับผมด้วย เพื่อสะดวกติดต่อตอนไปรับ โดยก่อนหน้านั้น เพื่อนรุ่นพี่คนนั้นได้พูดคุยกับ นายแลมัง ทางโทรศัพท์ว่ายังไงนั้นผมไม่รู้ จากนั้นผมจึงออกไปกับเพื่อนคนหนึ่ง โดยเพื่อนเป็นคนขับรถผมนั่งซ้อนท้าย ระหว่างทางผมได้โทร.ถามหา นายแลมัง ว่าอยู่ที่ไหน นายแลมัง บอกว่ารออยู่ที่ร้านน้ำชาที่บ้านเขาวัง พอไปถึงหมู่บ้านน้ำใส ผมจึงได้โทร ไปบอก นายแลมัง ให้มารอที่หน้ามัสยิดบ้านเมืองยอน เพราะเป็นถนนใหญ่หาง่าย นายแลมังก็ได้ตกลง

อีกประมาณ15 นาทีหลังจากนั้น พอใกล้ถึงผมจึงโทร.ไปใหม่อีกครั้ง ถามนายแลมัง ว่ามาถึงหรือยัง แต่นายแลมัง บอกว่ายังไม่ได้ไปที ยังอยู่ที่เดิม ผมจึงให้เพื่อนที่เป็นคนขับรถคุยถามทางจากนายแลมัง เพราะผมไม่รู้จักเส้นทางแถวนี้ เมื่อขับรถไปถึงที่นายแลมัง จอดรถรออยู่ข้างทาง ซึ่งเป็นที่เปลี่ยวและมืดมาก ไปถึงเพื่อนก็ได้จอดรถเทียบข้างกับรถเก๋งของนายแลมัง ที่นั่งรออยู่ในรถยนต์เก๋งดังกล่าว เพื่อนผมจึงถามนายแลมัง ว่า อยู่นี่คนเดียวไม่กลัวหรือไง ไฟก็มืดเปลี่ยวก็เปลี่ยว ผมเองก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมต้องมาเจอในที่มืดเปลี่ยวด้วย
 
แฟ้มภาพ
 
พอดีผมปวดปัสสาวะจึงได้เดินไปปัสสาวะอีกฝั่งของถนน ระว่างนั้นผมได้เห็นเหมือนมีเงาตะคุ่มๆ พอฉี่เสร็จจะหยิบโทรศัพท์มาส่องดู จากนั้นคนที่ซุ่มจึงได้วิ่งออกมาพร้อมตะโกนบอกว่า หยุดๆ อย่าวิ่ง ผมตกใจกลัวจึงวิ่งหนี จังหวะนั้นเองได้ยินเสียงปืนขึ้นหลายนัด เพื่อนผมก็ได้ขับรถหนี ผมจึงวิ่งหลบลงคูน้ำอีกฟากของถนน โทรศัพท์มือถือที่ถืออยู่กับมือได้จุ่มลงไปในน้ำ ผมจึงรีบวางโทรศัพท์บนพื้น และได้หลบอยู่ตรงนั้นก่อน

จนสิ้นเสียงปืน ชายกลุ่มดังกล่าวนั้นก็ได้เรียกให้ผมขึ้นมาบนถนน ผมจึงลุกเดินไปพร้อมกับยกมือขึ้นทั้งสองข้างแล้วตะโกนบอกว่า อย่ายิง อย่ายิง จากนั้นชายกลุ่มดังกล่าวตะโกนบอกให้ผมนั่งคุกเข่าตรงข้างหน้ารถเก๋งที่จอดเปิดไฟหน้ารถอยู่แล้ว จากนั้นกลุ่มชายดังกล่าวก็เตะเข้าที่ใบหน้าของผมโดยไม่ได้ถาม และไม่ได้ค้นตัวผมก่อนเลย เตะเสร็จแล้วก็ถามว่า ของอยู่ไหน ผมก็ตอบว่าของอะไรไม่มี ไม่รู้ หลังจากนั้น ชายกลุ่มนั้นก็ได้รุมทำร้ายร่างกายผมโดยการเตะที่ท้อง หลัง และด้านข้างอีกหลายครั้ง และรู้สึกว่ามีของแข็งๆ มากระแทกที่ศีรษะผม เจ็บปวดมาก ผมก็เลยเอามือขึ้นไปจับที่ศีรษะจึงรู้ว่าศีรษะแตกมีเลือดไหลออก ผมจึงบอกว่าศีรษะแตกมีเลือดออก แต่เขาก็ไม่ฟังและได้เตะผมซ้ำอีกหลายที

หลังจากนั้น ชายกลุ่มดังกล่าวได้ถามแบบบังคับให้พูดว่า ที่หัวมึงแตกเพราะหกล้มใช่ไหม ซึ่งผมรู้คำตอบดีว่าถ้าตอบว่าไม่ใช่ผมก็ต้องโดนหนักอีก ผมจึงตอบว่าครับ กลุ่มชายเหล่านั้นได้พูดข่มขู่อีกว่าอย่าให้เจอนะ

จากนั้น สักครู่เดียวก็ได้ยินเสียงตะโกนมาว่าเจอแล้ว เจอแล้ว ซึ่งผมเองไม่รู้ว่าเจออะไรที่ไหนยังไง จนกระทั่งกลุ่มชายดังกล่าวได้บังคับให้ผมไปชี้ของตรงบริเวณที่ผมวิ่งตกลงไป ผมจึงจำยอมต้องชี้ก่อน เพราะสภาพผมในขณะนั้นสะลึมสะลือ เลือดไหลออกเยอะมากไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าผมไม่ยอมชี้ก็กลัวต้องโดนหนักอีก

หลังจากนั้น กลุ่มชายดังกล่าวก็ได้ให้ผมขึ้นไปบนถนนบริเวณหน้ารถอีกครั้ง แล้วบังคับให้ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาประมาณ 2-3 รอบ เสร็จแล้วจึงพาผมขึ้นรถในสภาพที่ผมสะลึมสะลือหลับๆ ตื่นๆ เพราะเสียเลือดมาก พอถึงโรงพยาบาลทำแผลเสร็จ กลุ่มชายดังกล่าวจะพาผมออกไปเลย แต่หมอไม่อนุญาตเพราะสภาพผมตอนนั้นหนักมาก พอส่งผมถึงเตียงคนไข้เขาก็ได้ใส่กุญแจมือติดกับราวเตียง

หลังจากนั้น กลุ่มชายดังกล่าวก็ได้บังคับให้ผมเซ็นชื่อลงในกระดาษที่เขาถือมา แต่ผมไม่ได้เซ็น และไม่ได้อ่านด้วย เพราะสภาพผมในขณะนั้นไม่ไหวจริงๆ อ่อนเพลียลืมตาไม่ขึ้นต้องการพักผ่อน เขาก็พูดว่า กูยังไม่ได้นอนมึงก็ห้ามนอนให้ลุกขึ้นมาเซ็นชื่อ แต่ผมก็ไม่ยอมเซ็น หลังจากนั้นสักพักเขาก็กลับไป พอพรุ่งนี้เช้าก็ได้มาบังคับให้ผมเซ็นอีก ผมอ่านแล้วไม่ตรงกับความจริงที่เกิดขึ้นผมจึงไม่เซ็น พอชายกลุ่มนั้นกลับไปและจังหวะที่ตำรวจที่เฝ้าผมทั้ง 2 คนไม่อยู่ ก็ได้มีญาติคนไข้ที่อยู่ในห้องนั้น 3-4 คนได้เดินมาที่เตียงผม และได้ถามเรื่องราวจากผม พอได้รู้ความจริงเขาจึงถามว่าญาติรู้แล้วยัง ผมจึงตอบว่ายังเพราะตำรวจยึดโทรศัพท์ไว้ และไม่ให้ติดต่อญาติ
 
แฟ้มภาพ
 
จากนั้นพวกเขาจึงถามว่าจำเบอร์ใครได้บ้างผมตอบว่าได้ จึงเอาโทรศัพท์ของคนไข้เตียงข้างๆ มาให้ใช้ ผมจึงบอกเบอร์ของพี่สาว เขากดเบอร์แล้วก็ยื่นให้ผมคุยบอกพี่สาวเอง โดยพวกเขาช่วยยืนบังให้ ผมจึงบอกพี่สาวว่าอยู่โรงพยาบาลมายอ รถชนให้มาด่วน ช่วงจังหวะนั้นเองตำรวจที่เฝ้าเดินมองๆ มาพอดี พวกญาติคนไข้ดังกล่าวจึงได้แอบเอาโทรศัพท์ซ่อนแล้วเดินแยกกันออกไป

จนกระทั่งเมื่อพี่สาวผมมาถึงจึงได้ถามตำรวจชุดเฝ้าว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าโดนจับยาบ้า 20 เม็ด พอถามว่าเรื่องราวเป็นมายังไงเขาก็ตอบว่าไม่รู้เรื่องอะไรแค่เขาให้มาเฝ้า จนเปลี่ยนเวรชุดเฝ้าใหม่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบมา พี่สาวก็ได้ถามอีกแต่เขาก็ตอบว่าไม่รู้ และได้เดินออกไปจากเตียง ผมจึงได้บอกพี่สาวว่า ไม่รู้ได้ยังไง คนนี้แหละเมื่อคืนที่ซ้อมผมหนักกว่าเพื่อน พี่สาวจึงได้ถามใหม่ชื่ออะไร โรงพักไหน ร้อยเวรชื่ออะไรเขาก็ไม่ตอบ บอกแต่ว่านายสั่งไม่ให้พูดให้ไปคุยกันในศาล

พี่สาวจึงได้โทร.ปรึกษากับพี่แอน และได้ไปร้องเรียนที่ ศอ.บต. ตอนที่พี่สาวผมอยู่ที่ ศอ.บต. ก็ได้มีตำรวจชุดนอกเครื่องแบบมาบอกพ่อว่าจะต้องเอาตัวผมไปโรงพักก่อน พ่อโทร.บอกพี่สาวแต่พี่สาวบอกว่าอย่าให้เอาตัวผมไปก่อนเพราะสภาพบาดเจ็บอยู่ และได้มีตำรวจหนึ่งในนั้นได้มานั่งคุยกับผมถามไถ่อาการ และผมได้บอกเขาว่าผมอยากเจอคนที่บอกว่าเจอของจัง เพราะผมถ้าใครเจอก็ต้องเป็นของคนนั้น เพราะมันไม่ใช่ของผมแน่นอน ตำรวจคนนั้นได้พูดกับผมว่า ถ้าไม่ใช่ของมึงก็ไปบอกกับนายดีๆ สิว่าไม่ใช่ ทั้งที่ก่อนนั้นพวกเขาพยายามยัดยานั้นให้เป็นของผมให้ได้

พอเช้าอีกวันร้อยเวรก็มาจะพาผมออกจากโรงพยาบาลให้ได้ อ้างว่าต้องพาไปส่งศาลหมดเวลาการคุมตัวของเขาแล้ว ทั้งที่ผมแม้แต่จะขยับตัวก็ลำบาก เจ็บปวดตามร่างกาย และปวดที่หัวด้วย แต่เขาก็ยังอ้างว่าต้องพาไปส่งศาลให้ได้ แต่พี่สาวก็ได้ปฏิเสธไปโดยบอกว่าคนไข้มีสิทธิได้รับการรักษา จนหมอเข้าใจถึงเหตุผลจึงให้อยู่รักษาต่อตามความเป็นจริง เพราะผมอาการยังไม่ดีขึ้น และมีภาวะแทรกซ้อน ต้องพ่นยาและฉีดยาต่อเนื่องทางน้ำเกลือด้วย ผมจึงได้อยู่รักษาต่อที่โรงพยาบาลมายอ จนออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2561

นายซายูตี ได้กล่าวอีกว่า ส่วนสาเหตุที่จะลุกขึ้นมาสู้ เพราะเขาว่าสู้กับตำรวจก็ไม่ชนะหรอก ถึงเราไม่ผิดเขาก็ทำให้เราผิดได้ ถึงสู้ก็ติดแน่แต่ถ้าแพ้ก็ต้องติดนาน ถ้ายอมรับก็ติดคุกไม่นาน 2 ปีก็ออก แต่สำหรับผมแล้วคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยในการที่จะต้องมารับจากที่เราไม่ได้ทำ ยาบ้านั้นไม่ใช่และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลย นี่ 20 เม็ด ถึงยาแค่ 1-2 เม็ดถ้าไม่ใช่ของผม ถึงติดคุกแค่เดือนหรือสองเดือนผมก็ไม่สามารยอมรับได้ถ้ามันไม่ใช่ของผม ขอความเป็นธรรมให้ผมด้วยครับ
 


กำลังโหลดความคิดเห็น