คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
.
สิงหาคม ถือเป็น “เดือนเลือดเดือด” ที่เป็นไปตาม “ปฏิทินโจร” ได้ผ่านไปแล้วพร้อมกับความสูญเสียที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะมีคนตายและคนเจ็บกว่า 20 ราย ทั้งที่เกิดจากสถานการณ์ “ก่อการร้าย” และเกิดจากเรื่องที่มาจาก “ภัยแทรกซ้อน”
ในขณะเดียวกันผลการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐในการปิดล้อม ตรวจค้น สกัดกั้น เพื่อมิให้ “แนวร่วม” หรือ “โจรใต้” ปฏิบัติการลอบกัดเจ้าหน้าที่รัฐก็ได้ผลน่าพอใจ เพราะสามารถ “จับเป็น” และ “จับตาย” โจรใต้ได้หลายรายด้วยเช่นกัน
แต่นั่นก็อาจจะเป็นได้แค่ “ความสะใจ” ของ “ไทยพุทธ” ในพื้นที่ และของเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นกัน เพราะจำต้องอยู่กับความสูญเสียจากฝีมือโจรใต้ที่ก่อไปใต้ระลอกใหม่มาแล้วถึง 14 ปี ขณะที่ความสูญเสียก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะ “ยุติความรุนแรง” ลงได้เลยในเวลานี้
ถ้าติดตามความเคลื่อนไหวของ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่สร้างโจรใต้ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ไว้จำนวนมาก รวมทั้งปฏิบัติการ “ไอโอ” ของขบวนการที่ต่อเนื่องมาก็จะพบเห็นว่า มีการปลุกระดมเพื่อการ “เอาคืน” หรือการ “แก้แค้น” ซึ่งเป้าหมายคือ เจ้าหน้าที่รัฐที่เป้าหมายอ่อนแอ เช่น “ชรบ.” และ “อาสาสมัคร” แต่ถ้าไม่มีเป้าหมายดังกล่าว “คนไทยพุทธ” คือจะกลายเป็นเหยื่อของการเอาคืนของโจรใต้ไปโดยปริยาย
ฉะนั้นจึงอย่างเพิ่งดีใจกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วเราอาจจะต้อง “จ่าย” ค่าตอบแทนที่มากกว่า
แต่ในขณะเดียวกันก็มี “ข่าวใหม่” ซึ่งอาจจะเป็น “ข่าวดี” ก็เป็นได้ นั่นคือ การที่นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ดร.มหาธีร์ มูฮัมหมัด ได้มีการแต่งตั้ง “ผู้อำนวยความสะดวก” คนใหม่เพื่อการขับเคลื่อนโต๊ะการ “พูดคุยสันติสุข” ระหว่างตัวแทนของรัฐไทย กับกลุ่มตัวแทนของแบ่งแยกดินแดน ซึ่งตั้งฐานที่มั่นอยู่ในประเทศมาเลเซีย เพื่อที่จะให้การพูดคุยของทั้ง 2 ฝ่ายสามารถดำเนินการต่อไปได้ หลังจากที่หยุดชะงักไประยะหนึ่งเพราะเกิดการเปลี่ยนผู้บริหารประเทศของมาเลเซีย
โดยผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกคนใหม่ในครั้งนี้คือ ตันศรี อับดุล ราฮิม บิน โหห์ด นูร์ ซึ่ง “วงใน” ของความมั่นคงฝ่ายไทยรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีและเรียกชื่อกันสั้นๆ ว่า “ตันศรี ราฮิม” โดยถือเป็นผู้อาวุโสเพราะมีอายุถึง 75 ปีล่วงแล้ว มีอดีตเป็นถึง “ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล” ที่รู้จักบรรดาแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทยทุกขบวนการเป็นอย่างดี เนื่องเพราะพวกเขาเหล่านั้นได้อาศัยอยู่ที่มาเลเซียนั่นเอง
และที่สำคัญเขานับเป็นคนสนิทของ ดร.มหาธีร์ด้วย เพราะเป็นผู้ที่ช่วยจัดการ “ศัตรู” ของผู้นำเสือเหลืองคนปัจจุบันมาแล้วในหลายต่อหลายครั้ง
อันเป็นไปอย่างที่มีการคาดหมายไว้ว่า ถ้า ดร.มหาธีร์ต้องการสานต่อเวทีการพูดคุยสันติสุขเพื่อดับไฟใต้ของไทยก็จะต้องให้ ดาโต๊ะ สรี อาหมัด ซัมซามิน ฮาซิม อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองของมาเลเซีย ผู้เป็นคนสนิท ของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาว นายนาจิบ ราซัค พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยความสะดวกอย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นอย่างไม่ผิดคาด
การส่ง ตันศรี ราฮิม มาทำหน้าที่ผู้อำนวยความสะดวกนั้น ถือเป็นเรื่องดีแน่ถ้า ดร.มหาธีร์มีความจริงใจ โดยไม่มีการ “วางหมากกล” หรือมีเรื่องของ “ผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง”
เนื่องเพราะ ตันศรี ราฮิม เข้าใจและรู้จักขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้อของไทยทุกขบวนการเป็นอย่างดี เนื่องจากที่ผ่านๆ มาตำรวจสันติบาลของมาเลเซียถือเป็นหน่วยงานความมั่นคงที่มีอำนาจเต็มเปี่ยม และสามารถที่จะ “สั่ง” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในไทยให้ทำตามที่ต้องการได้
หลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ไทยได้รับตัวผู้ต้องหาคนสำคัญๆ ข้ามฝั่งมารับโทษทัณฑ์ นั่นเป็นเพราะได้รับความร่วมมือใน “ทางลับ” จากสันติบาลของมาเลเซียนั่นเอง
อย่างการได้ตัว สะมะแอ ท่าน้ำ และ ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ถือเป็น “ตัวเป้งๆ” ในขบวนการแบ่งแยกดินแดนล้วนมาจาก “ไฟเขียว” ของ “สันติบาลมาเลเซีย” ไม่ใช่ได้มาเพราะไทยเรามีความเป็นมิตรที่ดีกับ “กองทัพ” หรือ “ตำรวจ” แดนเสือเหลือ
ดังนั้นถ้านายกรัฐมนตรีมาเลเซีย “จริงใจ” ที่จะช่วยประเทศไทยแก้ปัญหาไฟใต้ และไม่มีการ “หมกเม็ด” หรือใช้เวทีการพูดคุยเพื่อสานประโยชน์ของมาเลเซีย เชื่อว่าโต๊ะการพูดคุยสันติสุขรอบใหม่อาจจะมีการ “เปลี่ยนตัวละคร” ที่อยู่ในสัดส่วนของ “กลุ่มมาราปาตานี” โดยจะมี “ตัวจริง” ของ “ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ” มาร่วมโต๊ะของการพูดคุยสันติสุขด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยสันติสุขจะได้ผลนั้น ต้องคุยกับ “ตัวจริง” เท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ใช่ “ดุลเลาะ แวมะนอ” ที่เป็น “เบอร์ 1” ก็ต้องเป็นบุคคลระดับรองๆ คนหนึ่งคนใด หรืออาจจะเป็น “ผบ.กองกำลัง” อย่าง “เด็ง แวกะจิ” ความสำเร็จ ในการพูดคุยสันติสุขเพื่อดับไฟใต้ของไทยจึงจะเป็นผลสำเร็จ
เพราะสิ่งที่คนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องการเห็นคือ การยุติความรุนแรง ทั้งในรูปแบบของการลอบวางเพลิง ฆ่าคน และใช้ระเบิดแสวงเครื่อง รวมถึงคาร์บอมบ์หรือ จยย.บอมบ์ ดังนั้นการพูดคุยสันติสุขจึงต้องได้พูดคุยกับคนที่สั่งการจริงๆ โดยต้องพิสูจน์ได้ว่าสามารถสั่งการให้หยุดใช้ปฏิบัติความรุนแรงได้จริง จากนั้นจึงหันหน้ามาพูดคุยกันเพื่อหาทางออกจากวิกฤตปัญหา โดยรัฐไทยก็ต้องตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ รัฐไทยทำได้และไม่เสียหาย
ไม่ใช่เดินหน้าพูดคุยสันติสุขต่อไปแบบรู้ทั้งรู้ว่าทั้ง “เสียเวลา” และ “หลงทาง” แบบที่ผ่านๆ มา เนื่องจากยอมที่จะนั่งพูดคุยกับผู้ที่ไม่มีอำนาจสั่งการให้หยุดก่อเหตุตัวจริง แล้วคงไม่ต้องลอยหน้าลอยตาพร่ำพ่นให้สังคมฟังว่า เราจะไม่พูดคุยกับพวกใช้ความรุนแรง เพื่อบีบให้เขาเลิกการใช้ความรุนแรง ซึ่งนโยบายอย่างนี้ยังไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน
อย่างที่วันนี้มีคนดีใจว่า การพูดคุยสันติสุขสำเร็จไปแล้วพอประมาณ เพราะมีการประกาศ “พื้นที่ปลอดภัย” หรือ “เซฟตี้โซน” ไปแล้วที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส แถมยังมีปฏิบัติการ “ปล่อยตัว 3 โจร” ออกจากการคุมขังเพื่อช่วยให้การบริหารพื้นที่ปลอดภัยเกิดได้จริง แต่ทว่านอกพื้นที่ อ.เจาะไอร้อง กลับยังมีทั้งคนตายและคนเจ็บอยู่ทุกวัน นี่หรือคือความสำเร็จจากโต๊ะพูดคุยสันติสุขที่ดำเนินการผ่านมาแล้ว
ในขณะเดียวกันเมื่อฝ่ายมาเลเซียมีการเปลี่ยนแปลงในระดับตัวตนของผู้อำนวยความสะดวกแล้ว นั่นก็เชื่อว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มมาราปาตานีตามมาด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องติดตามดูว่าการเปลี่ยนแปลงต่อจากนี้จะส่งผลให้โต๊ะพูดคุยสันติสุขเอื้อประโยชน์กับการแก้ปัญหาไฟใต้หรือไม่อย่างไร
สิ่งสำคัญคือ ฝ่ายรัฐไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ เพราะมีหลายฝ่ายที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง โดยพาะการเอาบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ และมีความเป็น “ส่วนตัว” กับ “คีย์แมน” ของฝ่ายมาเลเซียนับตั้งแต่ตัวของนายกรัฐมนตรีไปจนถึง ตันศรี ราฮิม ผู้อำนวยความสะดวกคนใหม่ เพื่อความคล่องตัวในการเดินหน้าของการพูดคุยสันติสุขได้มากขึ้น
หลายคนมองว่า พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ หรือ “เสธเจี๊ยบ” เพื่อนร่วมรุ่น บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการร่วมทำงานกับ ตันศรี ราฮิม ในการสลายกองกำลังโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา(จคม.) จนประสบความสำเร็จมาแล้ว รวมทั้งเคยเป็นสต๊าฟของ “การพูดคุยในทางลับ” กับขบวนการแบ่งแยกดินแดนมาโดยตลอด น่าจะเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมในการเป็นคีย์แมนของการผลักดันเวทีการพูดคุยให้มีความก้าวหน้า
หรือไม่ก็ให้ “เสธเจี๊ยบ” ได้ทำหน้าที่พูดคุยในทางลับต่อไป เพื่อขับเคลื่อนคู่ขนานกับการพูดคุยทางเปิดเผย
อันเห็นชัดว่าที่ผ่านมาแล้ว 4 ปีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กลับทำได้แค่อยู่ในขั้น “สร้างความไว้วางใจ” เท่านั้น
เพราะถ้าฝ่ายรัฐไทยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคิดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ หรือยัง “แทงกั๊ก” ไปเรื่อยๆ กับเวทีการพูดคุยสันติสุข โดยไม่ได้ใช้งานคนเก่งและคนที่เหมาะสม แต่ต้องการใช้ “คนที่ไว้ใจ” และ “พร้อมทำตาม” เวทีการพูดคุยสันติสุขก็จะเป็นได้แค่เวทีโชว์ “งูเห่ากัดพังพอน” ล้วนเป็นเรื่องราว “ปาหี่” ให้สังคมได้ชมกันแบบสนุกๆ เหมือนที่ผ่านๆ มาก็เท่านั้น
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น แม้วันนี้การเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกของมาเลเซียจาก ซัมซามิน ฮาซิม มาเป็น ตันศรี ราฮิม ซึ่งถือว่าเป็น “มวยถูกคู่” กับขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ก็จริง แต่อย่างเพิ่งคาดหวังว่าจะนำไปสู่การดับไฟใต้ได้ อย่างเพิ่งดีใจว่าชายแดนใต้จะเกิดสันติสุข
เนื่องเพราะผู้ที่กำหนดความเป็นความตาย โดยสามารถนำไปสู่ความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ยังคงเป็น “ฝ่ายมาเลเซีย” อยู่เช่นเดิม แถมผู้นำเสือเหลืองในเวลานี้ยังพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองอย่างเป็นด้านหลัก โดยไม่เคยจะยอมเสียเปรียบให้กับฝ่ายไทยแม้แค่องคุลีในทุกเรื่อง
ดังสุภาษิตไทยที่ระบุไว้ว่า ถ้าเจอ “แขก” กับ “งู” ให้ “ตีแขก” ก่อนนั่นเอง วันนี้สุภาษิตนี้จะยังใช้ได้ดีอยู่อีกหรือไม่ ขอให้จับตาดูชม “เวทีการพูดคุยสันติสุข” ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไป