xs
xsm
sm
md
lg

“พาโจรกลับบ้าน” แบบพิลึกพิลั่นดันยุทธศาสตร์ BRN สำเร็จผลเร็วขึ้น?! / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นาซอรี แซะเซ็ง หรือ อาแว แกและ แกนนำขบวนการมูจาฮีดินมอบตัวกับ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช
 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
.
ตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค.2561 เป็นต้นมา สถานการณ์ความรุนแรงของ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย มีเหตุการณ์ร้ายๆ หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดต่อกัน แต่ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญคือ การที่คนร้าย “ยิง 2 แม่ลูกไทยพุทธ” ที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ซึ่งแม้ว่าวันนี้จะมีพิธีฌาปนกิจไปแล้ว แต่ “คนไทยพุทธ” ในพื้นที่ก็ยังหวาดผวา เพราะไม่แน่ใจว่าศพต่อไปจะเป็นใคร และเกิดในพื้นที่ไหน
 
เพราะคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะคนไทยพุทธเชื่อว่า การเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าสลดของ 2 แม่ลูกเป็นปฏิบัติการของ “แนวร่วม” หรือ “โจรใต้” เพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรงให้เกิดขึ้น โดยการเลือก “เป้าหมายอ่อนแอ” นั่นก็คือ “ไทยพุทธ” เพื่อ “ขยายความขัดแย้ง” ระหว่างคนที่นับถือศาสนาต่างกันในพื้นที่
 
ล่าสุด พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความคืบหน้าของคดีการสังหารโหด 2 แม่ลูกไทยพุทธ ว่า สาเหตุมาจาก “เรื่องส่วนตัว” จากปัญหาภายในครอบครัว ไม่ได้เป็นเรื่องของความมั่นคง เพียงแต่การเกิดเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้าเป็นเรื่องการก่อการร้ายก็จะสามารถปิดคดีได้ทันที
 
ถึงวันนี้จึงกลายเป็นประเด็นว่า การเสียชีวิตของ 2 แม่ลูกไทยพุทธเป็นฝีมือของแนวร่วมหรือโจรใต้ ซึ่งเป็นคนของขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือเป็นเรื่องที่เกิดจากความขัดแย้งในประเด็นอื่นๆ เช่น ครอบครัว หรือที่ถือว่าเป็นอาชญากรรมทั่วๆ ไป ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
 
แต่เมื่อคนระดับ “แม่ทัพ” เป็นผู้เปิดประเด็นว่า การตายของ 2 แม่ลูกไทยพุทธไม่ได้มาจากปฏิบัติการของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ย่อมได้รับความสนใจ และการติดตามจากกลุ่มไทยพุทธในฐานะฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งพนักงานสอบสวน หรือตำรวจที่เป็น “ต้นทาง” ของกระบวนการยุติธรรม และมีหน้าที่ในการสืบสวน สอบสวน ติดตามจับกุมคนร้าย ต้องทำงานหนัก และต้องทำด้วยความรอบคอบในการหาพยานหลักฐานเพื่อคลี่คลายคดี
 
มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายได้แล้วจำนวนหนึ่ง และอยู่ระหว่างการ “สอบเค้น” เพื่อให้รับสารภาพว่า ประเด็นการสังหารโหด 2 แม่ลูกไทยพุทธที่เกิดขึ้นเป็นการ “สั่งการของใคร” เป็นเรื่องของการก่อการร้ายที่มีขบวนการ “บีอาร์เอ็นฯ” เป็นผู้สั่งการ หรือเป็นความขัดแย้งในเรื่องส่วนตัว ซึ่งเป็นอาชญากรรมธรรมดา
 
เพราะหากการสั่งตาย 2 แม่ลูกไทยพุทธมาจากเรื่องส่วนตัวอย่างที่ “บิ๊กอาร์ต” หรือ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้ นั่นก็ถือเป็น “ข่าวดี” ใน “ข่าวร้าย” ที่คนไทยพุทธในพื้นที่จะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนว่าจะตกเป็นเหยื่อคนต่อไปอีกหรือไม่
 
แต่ถ้าปฏิบัติการโหดในการฆ่า 2 แม่ลูกไทยพุทธเป็นเรื่องของความมั่นคง เป็นแผนการของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ที่ต้องการขยายความขัดแย้ง เพื่อ “ถ่างช่องว่าง” ในยุทธศาสตร์การ “แยกคน” จริงตามที่ “สายข่าว” ได้รับรู้มา นั่นย่อมเป็น “ข่าวร้าย” ใน “ข่าวร้าย” ของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงก็ย่อมที่จะพ้นไปจาก “บิ๊กอาร์ต-พล.ท.ปิยะวัฒน์ นาควานิช” ในฐานะของแม่ทัพ และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไปไม่ได้ ซึ่งมีหน้าที่ในการ “ดับไฟใต้” จนกว่าจะพ้นเที่ยงของวันที่ 30 ก.ย.2561
 
และถ้าผลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนปรากฏว่า การเสียชีวิตอย่างโหดร้ายของ 2 แม่ลูกไทยพุทธในครั้งนี้เป็นปฏิบัติการของแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนจริง ตามที่สายข่าวได้แจ้งให้ทราบก่อนหน้านี้ว่า บีอาร์เอ็นฯ มีแผนในการปฏิบัติการกับคนไทยพุทธ และ “กองกำลังท้องถิ่น” ไม่ว่าจะเป็น ชรบ.หรืออาสาสมัครรักษาดินแดน “บิ๊กอาร์ต” ก็ต้องรับผิดชอบกับคำสัมภาษณ์สื่อว่า การเสียชีวิตของ 2 แม่ลูกไทยพุทธไม่ใช่เรื่องความมั่นคงด้วยละกัน
 
จากเหตุร้ายรายวันที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ตาย และผู้บาดเจ็บจากระเบิดแสวงเครื่องและจากกระสุนปืนที่เป็นทั้งไทยพุทธและมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการปิดล้อม ตรวจค้น และจับกุมจากกองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐอย่างต่อเนื่อง นั่นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในเดือน ส.ค.2561 เป็นไปตาม “ปฏิทินโจร” ซึ่งที่ผ่านมา เดือน ส.ค.นี้จะเป็นเดือนแห่งการก่อการร้าย และเป็นเดือนแห่งความสูญเสียของคนในพื้นที่
 
อย่างกรณีการปิดล้อม จับเป็นและจับตายกลุ่มโจรใต้ หรือแนวร่วม 7 คนในพื้นที่ ต.สะเอ๊ะ อ.กรงปีนัง จ.ยะลา ยิ่งเป็นการ “ตอกย้ำ” อย่างชัดเจนว่าบีอาร์เอ็นฯ ยังปฏิบัติการใช้ความรุนแรงในเดือน ส.ค.นี้อย่างต่อเนื่อง เพราะหากเจ้าหน้าที่ “ได้กลิ่น” เสียก่อน และ “เข้าปิดล้อม” อย่างทันท่วงที นั่นหมายถึงตำรวจและทหาร รวมถึง อส. ชรบ.และประชาชนที่เป็นเป้าหมายอ่อนแออาจไม่ต้องสังเวยชีพไม่รู้อีกกี่ศพต่อกี่ศพ
 
อีกทั้งยังแสดงให้เห็นชัดยิ่งว่า แนวร่วมเหล่านี้ยังถูกสั่งการจาก “แกนนำ” ให้ปฏิบัติการในวันสำคัญๆ ทางศาสนา ซึ่งในวันที่ 22 ส.ค.2561 ที่จะถึงนี้เป็น “วันรายอฮัจญี” เพื่อก่อความรุนแรง เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์หากทำสำเร็จ
 
และก็ได้ขึ้นสวรรค์จริงๆ ไปแล้ว 2 ราย ซึ่งต้องจับตามองถึงความเคลื่อนไหวของคนในพื้นที่ เพราะมี “กลุ่มหนึ่ง” ที่ไปร่วมงานศพของผู้ตายในลักษณะของ “ชะอีด” หรือเป็นนักรบของพระเจ้า ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงเป็น “โจร” หรือเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่ปฏิบัติการฆ่าคน และที่สำคัญผิดหลักศาสนาด้วย
 
แต่แปลกที่บรรดา “ผู้นำศาสนา” ในพื้นที่กลับยัง “นั่งเฉย” มากว่า 14 ปี โดยที่ไม่กล้าที่จะ “ฟัตวา” ว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นเชื่อและปฏิบัติเป็นเรื่อง “ความสุดโต่ง” ที่ใช้หลักศาสนาไปบิดเบือน
 
ถ้าถือว่าการ “จับเป็น” แนวร่วม หรือโจรใต้ได้ 5 คน และ “จับตาย” ไป 2 คนนั้น เป็น “ข่าวดี” ที่ “มวลชน” เริ่มเป็นของเรามากขึ้น กล้าที่จะ “แจ้งเบาะแส” ว่ามีโจรไปพักพิงอยู่ที่ไหน แต่ใน “ข่าวดี” ก็เป็น “ข่าวร้าย” ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องมีแผนในการป้องกันเป้าหมายอ่อนแอ เนื่องจากเมื่อบีอาร์เอ็นฯ สูญเสีย นั่นก็ต้องมีการ “เอาคืน” เพื่อแก้แค้นและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่แนวร่วม
 
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมหรือยัง หรือพร้อมแค่ไหนในการพิทักษ์ชีวิตและทรัพย์สินของทั้งคนไทยพุทธที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอ และเป็นเหยื่อสถานการณ์ รวมทั้งสายข่าวที่เป็นมุสลิมในพื้นที่
 
ถ้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่พร้อม ไม่มีแผนที่เด็ดขาด การจับกุมไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย นั่นก็เหมือนการ “เล่นฮอส” ที่ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามเอาคืน และอาจจะเอาคืนแบบหนักกว่าเดิม สุดท้ายคือความสูญเสียที่ตกอยู่กับคนไทยพุทธ เช่นเดียวกับกรณี 2 แม่ลูกไทยพุทธที่ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาสนั่นเอง
 
เพราะแม้แต่ในพื้นที่ “กรุงเทพมหานคร” เองก็มีข่าวว่าโจรใต้อาจจะฉวยโอกาสก่อการร้ายขึ้น ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้าปิดล้อมบ้านต้องสงสัยใน “เขตลาดกระบัง” แล้วนำตัวผู้ต้องสงสัยที่เป็นมุสลิมจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปทำการสอบสวนหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับขบวนการก่อการร้าย
 
เมื่อยุทธศาสตร์การแยกคนของบีอาร์เอ็นฯ ยังคงความเข้มข้นและต่อเนื่อง หาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังไม่สามารถทำลาย “ฐาน” ของขบวนการภายในหมู่บ้านต่างๆ อย่างได้ผล โดยปล่อยให้แนวร่วมยังสามารถที่จะเคลื่อนไหวและเลือกเหยื่อในการปฏิบัติการแต่ละครั้งได้
 
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า น่าจะต้องดำเนินการ “ทบทวน” ถึงแผนหรือนโยบายของการปฏิบัติการที่ผ่านๆ มาว่า ทำไมการทำลายฐานของบีอาร์เอ็นฯ ในหมู่บ้านต่างๆ จึงไม่ได้ผล
 
และนโยบายต่างๆ ที่ใช้ในการดับไฟใต้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่หว่านทั้ง “เงิน” และทั้งปฏิบัติการ “เอาใจศัตรู” แบบสารพัด ทำไมจึงยังไม่ได้ใจ ทำไมจึงยังไม่ได้พวก ถามว่าเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วควรยกเลิกวิธีการนี้ไปไหม แล้วใช้นโยบายอื่นๆ จะดีไหม
 
อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกนำมา “โฆษณาชวนเชื่อ” คือการนำ “นายนาซอรี แซะเซ็ง” หรือ “อาแว แกและ” อดีตโจรใน “ขบวนการมูจาฮีดิน” มามอบตัว เพื่อแสดงภาพลักษณ์ความสำเร็จของ “โครงการพาคนกลับบ้าน” นั้น น่าจะ “สร้างภาพ” ได้สำหรับคนที่อยู่นอกพื้นที่หรือไม่
 
แต่สำหรับคนในพื้นที่ และหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างรู้กันมานานแล้วว่า อาแว แกและ เป็นอดีตโจรก่อการร้ายที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เนื่องเพราะเป็นคนที่อยู่กับ “เจ้าหน้าที่รัฐบางคน” มานานแล้ว การสะกิดสีข้างให้มอบตัววันไหนก็สามารถทำได้ และไม่มีปัญหาอะไรเลย
 
แต่ที่เป็นปัญหาคือ อาแว แกและ มีหมายจับจากโรงพักต่างๆ ถึง 8 หมายด้วยกัน แม้ว่าบางหมายอาจจะขาดอายุความไปแล้ว แต่เมื่อมามอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการ “จัดฉาก” หรือไม่อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญต้องทำตามกระบวนการยุติธรรมของไทย นั่นคือ ต้องมอบตัวต่อตำรวจ ต้องทำการประกันตัวเช่นเดียวกับคนทำผิดทั่วไป ไม่ใช่มอบตัวเสร็จเดินกลับบ้านแบบสบายใจ แถมมีการกล่าวว่าค่อยให้ตำรวจเรียกตัวมาให้ปากคำในภายหลัง
 
เพราะการทำเช่นนี้ถือเป็นเรื่อง “2 มาตรฐาน” ที่จะสร้าง “เงื่อนไข” เพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยกลายเป็นให้ “สิทธิพิเศษ” สำหรับคนที่เป็นมุสลิม ทั้งที่มีฐานะเป็น “โจรก่อการร้าย” ซึ่งเป็นความไม่ถูกต้องในกระบวนการบังคับใช้กฎหมายถือเป็น “ความไม่เป็นธรรม” และที่สำคัญเป็นการ “ทำร้ายจิตใจ” สำหรับคนไทยพุทธในพื้นที่ ซึ่งไม่ควรที่จะให้เกิดขึ้น
 
การเอาโจร หรืออดีตโจรมามอบตัว เพื่อแก้ปัญหาความรุนแรง หรือเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความสำเร็จของหน่วยงาน หรือจะเพื่อ “ส่วนตัว” นั่นทำได้ แต่ต้องทำให้เป็นไปใน “มาตรฐานเดียวกัน” เพื่อความ “ศักดิ์สิทธิ์” ของการบังคับใช้กฎหมาย ส่วนจะช่วยเหลือในทางคดีเพื่อให้ “พ้นผิด” อย่างไร เป็นเรื่อง “ภายใน” ของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งหากทำเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน เพื่อความสงบสุข เพื่อสันติสุขของบ้านเมือง สังคมคงต้องเห็นด้วย
 
แต่ปรากฏว่า ณ วันนี้หน่วยงานดับไฟใต้กำลังใช้อำนาจหน้าที่ “แบ่งแยก” คนในพื้นที่ “แบ่งแยก” ความรู้สึกคนพุทธกับมุสลิม นี่เป็นการ “เข้าทาง” แผนบีอาร์เอ็นฯ ในการ “แยกคน” และ “ชี้ข้อบกพร่อง” ของรัฐให้ประสบผลสำเร็จในยุทธศาสตร์ที่วางไว้เร็วขึ้นหรือไม่
 


กำลังโหลดความคิดเห็น