คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีเหตุร้ายในรูปแบบ “สวนยางบอมบ์” หรือการลอบวางกับระเบิดแสวงเครื่องในสวนยางของ “ไทยพุทธ” ทั้งในพื้นที่ จ.ยะลาที่เคยเกิดขึ้น 5 ครั้งในรอบ 8 วันก่อน และในพื้นที่ จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส ก็ไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเช่นกัน
นอกจากเจ้าของสวนยางและลูกจ้างกรีดยางใน 3 จังหวัดชายแดนใต้จะหายใจได้อย่างโล่งอกอีกครั้ง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็คงจะโล่งใจไปด้วยที่ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” อันเป็นคนของขบวนการแบ่งแยกดินแดนหยุดการกระทำที่ “ต่ำช้า” กับ “เป้าหมายอ่อนแอ” ที่ไม่มีทางสู้อย่างชาวสวนยาง
คำถามที่หลายฝ่ายต้องการทราบคือ ทำไมขบวนการแบ่งแยกดินแดนจึงหยุด “ทุบหม้อข้าว” หยุดสร้างความ “หวาดกลัว” ให้กับคนไทยพุทธ ทั้งที่ถ้าโจรใต้จะปฏิบัติการชั่วร้ายเยี่ยงนี้ต่อไป และต้องการขยายพื้นที่จาก จ.ยะลาไปยัง จ.ปัตตานีและ จ.นราธิวาส รวมถึงพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ อ.จะนะ อ.เทพา อ.นาทวี และ อ.สะบ้าย้อย นี่นก็ยังสามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
เนื่องจากกระบวนการในการแก้ปัญหาของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่ได้สร้างผลสะเทือนให้กับโจรใต้หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด เพราะผ่านมาเกือบ 3 สัปดาห์แล้วเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถจับผู้ต้องหา หรือแม้แต่จับมือใครดมได้ ไม่ว่าจะเป็นคนร้ายหรือผู้ต้องสงสัยแม้แต่คนเดียว
เหตุผลที่โจรใต้หรือแนวร่วมสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดนไม่เปิดปฏิบัติการวางระเบิดสวนยางของชาวไทยพุทธต่อไป นั่นก็เนื่องจากประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการแล้วนั่นเอง นั่นคือ
1. ต้องการที่จะทราบวิธีการแก้ปัญหาของเจ้าหน้าที่รัฐว่าจะเป็นแบบไหน ซึ่งถึงวันนี้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็ได้รับรู้แล้ว
2. ต้องการสร้างความโกรธแค้นให้กับคนไทยพุทธในพื้นที่เพื่อ “ตอกลิ่ม” ความแตกแยกกับ “มุสลิม” เพื่อผลของการสร้าง “สังคมเชิงเดี่ยว” ให้สัมฤทธิ์ผล ซึ่งเมื่อจับอาการของคนไทยพุทธที่ออกมาเคลื่อนไหวใน “พื้นที่สาธารณะ” ก็ถือว่าขบวนการประสบผลสำเร็จ
และ 3. ต้องการชี้ให้คนในพื้นที่เห็นถึง “ความล้มเหลว” ของ อำนาจรัฐ หรือของเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่สามารถดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ได้ ซึ่งก็เป็นไปเพื่อผลทาง “การเมืองในเวทีสากล” และก็เป็นไปตามที่ขบวนการต้องการแล้ว
ดังนั้น เมื่อขบวนการประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ พวกเขาจึงหยุดการปฏิบัติการ ทั้งที่ไม่เป็นเป็นผลมาจากการ “ขัดขวางของเจ้าหน้าที่” แต่อย่างใด อันจะเห็นได้ว่าขบวนการจะไม่ทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้นานเกินไป แต่ก็พร้อมที่จะกลับมาทำใหม่เมื่อถึงเวลาอันควร
อย่างไรก็ตาม เวลานี้มีข่าวแจ้งว่าขบวนการจะกลับมาใช้วิธีการทำร้าย “เจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นคนไทยพุทธ” แทน โดยเฉพาะกับ “กองกำลังท้องถิ่น” ไม่ว่าจะเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ.) ชุดอาสาสมัครรักษาดินแดน(อส.) อันเป็นปฏิบัติการเดิมๆ ที่จะถูก “หมุนเวียน” นำมาใช้อีกครั้ง
กลางสัปดาห์ที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่รัฐได้กลายเป็น “เหยื่อ” ที่ต้องสังเวยชีพให้กับแนวร่วมหรือโจรใต้ไปแล้วคือ “จ่าทหาร” สังกัดหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ใน อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ซึ่งก็ต้องแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสียมาในโอกาสนี้ด้วย
สังคมโปรดจับตาให้ดี หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องมีแผนป้องกันให้ดี จากปฏิบัติการของแนวร่วมหรือโจรใต้ ทั้งในเดือน ก.ค.นี้และเดือน ส.ค.ที่จะถึงนี้ เพราะมีการแจ้งเตือนจากหน่วยข่าวมาแล้วเป็นระยะๆ
แต่จะป้องกันได้ขนาดไหน ย่อมอยู่กับ “วิสัยทัศน์” ของผู้เป็น “ผู้นำหน่วย” ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร หรือพลเรือน ซึ่งต้องมีความรู้ความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและกับความคิดอ่านของ “ศัตรู” ที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม
ที่ผ่านมาคนในพื้นที่ต้อง “เศร้าใจ” กับวิธีคิดในการแก้ปัญหาของ “ผู้นำหน่วยบางคน” โดยเฉพาะในเรื่องของการวางกับลอบระเบิดในสวนยางของคนไทยพุทธถึง 5 รายที่ผ่านมา อันทำให้มีคนพิการขาดขาดและบาดเจ็บไปถึง 5 ราย
โดย “ผู้นำหน่วยบางคน” ที่ว่านั้นกลับบอกกับ “ผู้สูญเสีย” และ “คนในพื้นที่” ที่ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวและหวังพึ่งพาอำนาจรัฐ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐในการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของคนใน “4-5 ตระกูลใหญ่” ในพื้นที่เพื่อสร้างสถานการณ์
แต่กลับไม่มีรายละเอียดว่าคนใน 4-5 ตระกูลใหญ่ในพื้นที่นั้นคือใคร และเมื่อรู้แล้วว่าเป็นฝีมือของ 4-5 ตระกูลใหม่ ทำให้เกิดคำถามของคนไทยพุทธตามมาคือ ทำไมจึงไม่ใช้อำนาจหน้าที่และกฎหมายที่มีอยู่ในจับกุมเล่า ทั้งที่มีการพูดถึงบรรดาตระกูลใหญ่ๆ เหล่านี้มานานแล้ว
และถ้า “ผู้นำหน่วยในพื้นที่” ทำไม่ได้ อาจจะเพราะความยิ่งใหญ่ของ 4-5 ตระกูลใหญ่นั้นมันใหญ่จริงๆ อันสามารถทำลายความมั่นคงของแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างได้ผลมาโดยตลอด ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จึงไม่ใช้ ม.44 ในการจัดการ “พวกหนักแผ่นดิน” เหล่านี้ให้สิ้นไปจากแผ่นดินปลายด้ามขวานเล่า
หากเป็นเช่นนี้จริง ทำไมถึงยอมให้รัฐต้องสูญเสีย “งบประมาณ” กว่า 130,000 ล้านบาทในห้วง 14 ปีไปกับการกระทำย่ำยีชาติบ้านเมืองของคนเพียง 4-5 ตระกูลใหญ่ในพื้นที่ มันคุ้มกันหรือไม่ หรือหากอำนาจรัฐไม่สามารถทำอะไรกับโจรแค่ 4-5 ตระกูลใหญ่นี้ได้ นั่นก็ควรบอกชื่อตระกูลของคนเหล่านั้นมาให้ประชาชนทราบก็ได้ เพื่อที่คนไทยพุทธในพื้นที่ที่ไม่ใช่ “พวกโลกสวย” จะได้รวมตัวกันจัดการด้วยตนเอง
ทว่าสิ่งที่คนไทยพุทธในพื้นที่ “ผิดหวังอย่างยิ่ง” คือวิธีการแก้สวนยางบอมบ์ที่กลับบอกให้เจ้าของสวนไปติดตั้ง “กล้องวงจรปิด” เพื่อไว้ใช้จับภาพคนร้าย และการทำสวนยางให้ “เตียนโล่ง” เพื่อที่จะได้เห็นกับระเบิดของคนร้ายที่นำมาวางได้ชัดเจน
ก็ต้องขอบอกว่า “สวนยาง” ไม่ใช่ “อาคารพาณิชย์” ที่จะไปติดตั้ง “กล้อง CCTV” ในการใช้ตรวจจับคนร้าย สวนยางนั้นเป็นพื้นที่ที่ทั้งกว้างและใหญ่ แถมทุกสวนไม่ได้ตั้งริมถนนที่จะได้มีไฟฟ้าใช้ พื้นที่ของสวนยางนั้นคนร้ายสามารถเข้าออกได้ทุกที่ทุกทาง ดังนั่นจะใช้กล้องวงจรปิดกันกี่ตัวในการติดตั้ง หรือว่าอยากจะให้ติดตั้งที่ต้นยางละ 1 ตัวเลยหรือ เรื่องแบบนี้แค่คิดก็ผิดแล้ว
อีกทั้งสวนยางกับ “วัชพืช” เป็นของที่อยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะสวนยางของคนไทยพุทธมักจะอยู่ในป่าหรือบนควน การจะทำให้เตียนโล่งเพื่อที่จะได้เห็นกับระเบิด จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสวนยางของ “คนจน” จะมีปัญญาที่ไหนในการติดตั้งกล้องวงจรปิด หรือเพียงแค่ทำให้เตียนโล่งก็ยังต้องในเงินทองอยู่ดี
สำหรับคนไทยพุทธในพื้นที่ที่ได้ฟัง “ท่านผู้นำหน่วยงาน” แนะนำเยี่ยงนี้ พวกเขาต่างร้องให้ไม่ได้ หัวเราะไม่ออก แต่เชื่อว่า “ดูลเลาะ แวมะนอ” ได้ยินได้ฟังแล้วคงจะเกิดอารมณ์ “ขำ” จน “สะดือบาน” เป็นแน่
ดังนั้นจึงอย่าได้แปลกใจว่า ทำไม่ “การยุทธ์” ระหว่าง “คนหยิบมือเดียว” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งได้ต่อกรกับ “กองกำลังนับแสนคน” ของรัฐบนแผ่นดินปลายด้ามขวาน ไฉนฝ่ายรัฐจึงตกอยู่ในสภาพ “ญะญ่ายพ่ายจะแจ” มาโดยตลอด
ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ถ้า “ท่านผู้นำหน่วย” ยังไม่เข้าใจสภาพของปัญหา ไม่เข้าใจในภูมิศาสตร์ของพื้นที่ ซึ่งอาจจะมีทั้ง “โง่จริง” เพราะไม่รู้จริงๆ และอาจจะมีทั้ง “แกล้งโง่” เพื่อผลประโยชน์และการเอาตัวรอดอย่างที่เป็นอยู่
ด้วยความเคารพครับท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อให้หลังการเลือกตั้งครั้งหน้าท่านได้กลับมานั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อทำตามยุทธศาสตร์ 20 ปีที่วางไว้ เชื่อว่าอีก 20 ปีข้างหน้า “ไฟใต้” บนแผ่นดินปลายด้ามขวานก็ไม่มีวันจะ “มอดดับ” ได้อย่างแน่นอน