คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู / โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ศิลปินพื้นบ้านสาขาหนังตะลุง เคยมีบทบาทสำคัญในฐานะสื่อมวลชนพื้นบ้านที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ข่าวสาร การเรียนรู้และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม หรือกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม เพราะเนื้อหาสาระจากการแสดงหนังตะลุงในอดีต นอกจากจะสร้างสรรค์ความบันเทิงเริงรมย์แก่ผู้ชมแล้ว ยังมีการสอดแทรกสาระทางด้านคุณธรรม จริยธรรมและมนุษยธรรม เป็นคติสอนใจแก่คนในครอบครัว โดยเฉพาะคุณธรรมด้านกตัญญูกตเวที และแนวทางในการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมอันดีของประชาชน จารีตด้านจรรยามารยาทของหนุ่มสาว โดยเฉพาะจารีตทางเพศที่เหมาะงาม
แต่ปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีด้านการสื่อสารคมนาคมและความเจริญเติบโตด้านวัตถุหลั่งไหลเข้ามาในยุคข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดนของสังคมบริโภคนิยมโลกาภิวัตน์ สื่ออื่นๆ เช่น หนังสือพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์และโซเชียลมีเดียเข้ามาแทนที่สื่อพื้นบ้านอย่างหนังตะลุง ทั้งในชุมชนชนบทและชุมชนเมือง
หนังตะลุงก็เริ่มสูญเสียความเป็นสื่อมวลชนของชาวบ้านที่ให้ความรู้และปลูกฝังคุณธรรม เหลือสถานะสื่อเพื่อสร้างความบันเทิงเป็นด้านหลัก สังคมไม่ร่วมสร้างหนังตะลุง หนังตะลุงก็ไม่มีบทบาทในการสร้างสรรค์สังคม ความนิยมยกย่องหนังตะลุงตามคำกล่าวที่ว่า “ลูกโม่(โง่)ให้หัดโนรา ลูกปัญญาให้หัดหนัง” (ไม่ได้หมายความว่าคนเป็นโนราเป็นคนโง่ แต่คนใต้เชื่อว่าคนเป็นนายหนังตะลุงต้องมีศักยภาพสูงกว่าคนเป็นนายโรงโนรา จึงต้องใช้คนที่มีความฉลาดเฉียบแหลมกว่า ถ้าจะมาทำหน้าที่หัวหน้าคณะศิลปินพื้นบ้านยอดนิยมของคนใต้ ๒ ประเภทนี้)
ปัจจุบันแม้ว่าหนังตะลุงจะยังไม่สูญหายไปจากความนิยมของชุมชนและสังคมท้องถิ่น แต่ค่านิยมในการดูการละเล่นแขนงนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปมากจนน่าเป็นห่วง สถานการณ์ปัจจุบันหนังตะลุงจึงอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า “ไม่ตาย แต่ไม่โต”
กล่าวคือ ยังมีคนรับหนังและดูหนังอยู่บ้างตามโอกาสอันเหมาะสม แต่เลือกดูเฉพาะนายหนังตะลุงที่มีความโดดเด่นเฉพาะด้านเพียงไม่กี่คณะ ในขณะที่ปัจจุบันมีนายหนังตะลุงรุ่นใหม่เกิดขึ้นเหมือนดอกเห็ดหน้าฝนนับร้อยนับพันทั่วภาคใต้ ยิ่งในจังหวัดใหญ่ๆ อย่างนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สงขลา พัทลุง ตรัง
ปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่
๑. การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร การคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านการสื่อสารสมัยใหม่ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยหลากหลายรูปแบบ
๒. ความเจริญก้าวหน้าด้านการศึกษาในระบบ ทั้งภาคบังคับและสูงกว่าภาคบังคับ มีสถาบันการศึกษาทุกระดับกว้างขวางและทั่วถึง คนส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับต่ำสุดคือภาคบังคับ และมีแนวโน้มจะจบระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้นทุกปี คนเหล่านี้น้อยคนนักที่สนใจมาเป็นนายหนังตะลุงหรือผู้ชมหนังตะลุง
๓. ลักษณะการประกอบอาชีพ ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำนาทำสวนเหมือนสมัยก่อน ที่มีเวลาว่างนอกฤดูกาลมารับหนังหรือแลหนังตะลุงจนสว่างคาตาแล้วกลับไปนอนที่บ้าน ปัจจุบันคนต้องไปทำงานหรือมีภารกิจในตอนกลางวันจึงไม่สามารถดูหนังจนสว่างตาคาได้
๔. ค่านิยมในการชมหนังตะลุงเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่ไม่สนใจชมหนังตะลุง หนังตะลุงที่ได้รับความนิยมอยู่บ้างมีไม่กี่คณะ และส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ “ความเป็นหนังตะลุง” ในการสร้างความนิยมเพื่อตรึงคนดู แต่มักใช้บทตลกนอกเรื่องนอกบทแบบ “ตลกคาเฟ่” และการใช้การร้องเพลงโชว์ เน้นที่ความสมบูรณ์ของเครื่องเสียงเครื่องดนตรีสากล ส่วนหนังตะลุงที่ “เล่นดี” (กลอนดี/เสียงดี/เรื่องดี/ตลกดี/มีคติสอนใจ/เดินรูนาดรูปดี ฯลฯ) แบบดั้งเดิมไม่ค่อยมี และไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าพวกร้องเพลงกับตลกนอกเรื่อง
ภาวะคุกคามเหล่านี้ต้อนให้นายหนังตะลุงรุ่นใหม่มาติดมุม และหันไปเผชิญหน้ากับความเสื่อมค่านิยมและความสับสนว่าตัวเองจะเป็น “หนังเล่นดี” หรือ “หนังเล่นหรอย” จะเล่นตามขนบนิยมและใช้ศักยภาพของความเป็นหนังตะลุงที่มีศิลปาการ หรือจะสุกเอาเผากินแบบ “ตลกคาเฟ่” หรือ “ตะลุงคอนเสิร์ต” เสียงบ่นจากโรงหนังตะลุงแว่วมาว่า “คนไม่นิยมรับหนังตะลุง” “งานวัดไม่มีหนังตะลุง” “หน่วยงานราชการ องค์กรต่างๆ ไม่สนับสนุน ไม่เห็นความสำคัญของหนังตะลุง” ฯลฯ
แต่ในความเป็นจริงมีว่า คนอยากรับหนังตะลุงยังมีอยู่ตามโอกาสอันควร เช่น งานบวช งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ งานแก้บนตัดเหมรย งานวัด งานโรงเรียน งานของชุมชนหมู่บ้าน ฯลฯ แต่ที่ไม่รับหนังตะลุงเพราะสาเหตุต่อไปนี้เป็นสำคัญ
๑. ค่าราดหนังตะลุงแพงมาก เมื่อเทียบกับความนิยมของชาวบ้านที่มีต่อหนังตะลุงที่ลดถอยลงไปทุกปี สวนกับกระแสสังคม ปัจจุบันหนังที่พอเล่นได้ ยังไม่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ค่าราดไม่ต่ำกว่าหมื่นห้าพัน ส่วนหนังที่มีชื่อเสียงพอเป็นที่รู้จักบ้างก็สองหมื่นเป็นอย่างต่ำ ด้วยความจำเป็นจากต้นทุนที่นายหนังต้องจ่ายทั้งค่าเช่าโรง เครื่องเสียง ลูกคู่ ฯลฯ
๒. แม้ว่าค่าราดจะแพงแต่ก็ยังมีเจ้าภาพหลายคนอยากรับหนังมาแสดงเพื่อเป็นเกียรติแก่งาน แต่มักถูกคนแวดล้อมทัดทานว่า “ไม่คุ้มค่าราด” เพราะไม่มีคนดูหนังตะลุง ซึ่งจากประสบการณ์ของผมก็เห็นว่าบางครั้งคนดูหน้าโรงน้อยกว่าลูกคู่บนโรงหนังด้วยซ้ำไป
๓. ศักยภาพของนายหนังตะลุงและคณะมีไม่มากพอ ที่จะสร้างการยอมรับจากคนดูเหมือนนายหนังสมัยก่อนได้ ทำไมนายหนังสมัยก่อนจึงเป็นอมตะอยู่จนทุกวันนี้ มีข้อคิดน่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าคนหน้าเวทีคอนเสิร์ตสามารถต่อเพลงของนักร้องได้ นักร้องคนนั้นถือว่าประสบความสำเร็จ แต่ถ้านายหนังตะลุงคนไหนขับบทแล้วคนดูหน้าโรงต่อกลอนได้ทุกวรรค นายหนังคณะนั้นหมดอนาคตทางการแสดงในไม่นาน
ทางเลือกเพื่อทางรอดของนายหนังตะลุงคืออะไร ผมจะนำเสนอในโอกาสต่อไปครับ