โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ถ้าจะเรียกว่าเป็นเรื่องของ “ผีซ้ำด้ำพลอย” หรือ “ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทนที่” ก็น่าจะไม่ผิด สำหรับเรื่องของ “นักบอลทีมหมูป่าติดถ้ำ” ที่เชียงราย กับเรื่องของ “นักท่องเที่ยวตายหมู่” ในทะเลภูเก็ต ที่ทั้ง 2 เหตุการณ์กลายเป็นข่าวดังทั่วโลก
เรื่องทีมหมูป่าติดถ้ำเป็นข่าวดังในเรื่องที่เป็นด้านดี ที่เห็นถึงความสามัคคีของหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ร่วมมือกันวางแผนเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ทั้ง 13 คนที่เข้าไปท่องเที่ยวและติดอยู่ในถ้ำ เนื่องจากน้ำท่วมจนออกมาไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็น “ภัยธรรมชาติ” ที่ไม่มีใครคาดหมายได้ล่วงหน้า เพราะในถ้ำหลวงแห่งนี้ยังไม่เคยเกิดเรื่องขึ้นมาก่อน ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรก
ที่สำคัญเด็กๆ ทั้ง 12 คน รวมทั้งโค้ชด้วยเป็น 13 คนก็ต้องบอกว่าพวกเขา “ไม่ใช่จำเลย” ของสังคม เนื่องจากเถื่อนถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครๆ ก็สามารถเข้าไปเที่ยวได้ ดังนั้นไม่ว่าการช่วยเหลือ 13 ชีวิตจะต้องหมดเงินงบประมาณมากน้อยเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่ความผิดของเด็กๆ และอย่าถามว่าเด็กๆ เข้าไปทำไม
และที่สำคัญอีกเช่นกัน เด็กและโค้ชทั้ง 13 คนก็ “ไม่ใช้ฮีโร่” ที่ควรเอาเป็นเยี่ยงย่าง เพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้เข้าไปในเถื่อนถ้ำแห่งนี้เพราะ ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดให้กับสังคมส่วนร่วม พวกเขาเข้าไปท่องเที่ยวในถ้ำแห่งนี้เพื่อชมความงาม และต้องเผอิญกับภาวะ “น้ำหลากท่วมถ้ำ” จนออกมาไม่ทัน จนต้องรอการช่วยเหลือเท่านั้น
เช่นเดียวกับการสูญเสีย “อดีตหน่วยซีล” ที่อาสาเข้าไปร่วมปฏิบัติการในการกู้ภัยในถ้าหลวงครั้งนี้ เป็นการสูญเสียทีคนทั้งแผ่นดินเศร้าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่ใช่ฮีโร่ เพราะไม่มีใครบ้างยากเป็นฮีโร่ในขณะที่ต้องสิ้นลมหายใจ เขาจึงเป็น “ผู้กล้า” ที่เสียสละชีวิตเพื่อส่วนรวม ผู้ที่สมควรแก่การยกย่องเชิดชู
แต่สำหรับเรื่องราวของนักท่องเที่ยวตายหมู่กลางทะเลภูเก็ต ย่อมไม่เหมือนเรื่องของเด็กๆ นักบอลและโค้ชรวม 13 ชีวิต และที่สำคัญไม่ใช่เรื่องของ “ภัยธรรมชาติ” ที่เกินความคาดหมาย หรือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างกรณีนักบอลทีมหมู่ป่าติดถ้ำหลวงที่ดอยขุนน้ำนางนอน
เนื่องจาก “ภัยพิบัติ” ที่เกิดกับนักท่องเที่ยวทางน้ำหรือทางทะเลเกิดขึ้นบ่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับในพื้นที่ภาคใต้ที่มีภูมิประเทศถูกท้องทะเลขนาบทั้ง 2 ฝั่งคือ ฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน
และทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางน้ำหรือในทะเล โดยเฉพาะในกรณีเรือล่ม หรือกรณีถูกคลื่นซัดในขณะที่ลงเล่นน้ำ ล้วนเกิดจาก “ความประมาท” ทั้งสิ้น
กรณีของการตายหมู่กว่า 50 ชีวิตของนักท่องเที่ยวกลางทะเลคลั่งที่ภูเก็ตครั้งนี้ก็เช่นกัน ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุได้มีการ “แจ้งเตือน” จาก “อุตุนิยมวิทยา” ถึงสภาพของอากาศที่ต้องระมัดระวังในการเดินเรือ หรือการห้ามเรือออกจากชายฝั่ง
แต่ก็ยังปรากฏว่าทั้ง “เจ้าของเรือ” ทั้ง “นายท้ายเรือ” และหน่วยงานต่างๆ ทั้งของภาคเอกชนและของรัฐก็ “ไม่ได้ใส่ใจ” กับการแจ้งเตือนในเรื่องของสภาพดินฟ้าอากาศ มีการปล่อยให้เรือนำนักท่องเที่ยวออกทะเล เหมือนกับว่าสภาพดินฟ้าอากาศอยู่ในสภาวะที่เป็นปกติ
นี่แสดงให้เห็นถึงความประมาทแรกของเจ้าธุรกิจเรือนำเที่ยว ผู้ควบคุมเรือและนายท้ายเรือที่เห็นแก่ “รายได้” เป็นด้านหลัก และมองเรื่อง “ความปลอดภัย” เป็นด้านรอง
ความประมาทที่สองคือเรื่องของ “เสื้อชูชีพ” ที่ติดตัวอยู่กับศพของนักท่องเที่ยวที่อยู่ในสภาพของ “ความบกพร่อง” ในการสวมใส่ ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ควบคุมเรือไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องของการใส่เสื้อชูชีพของนักท่องเที่ยว จนทำให้เสื้อชูชีพขาดประสิทธิภาพในการกู้ชีพ เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
และยังอาจจะมีความประมาทอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ในขณะที่คลื่นลมกระหน่ำจนเรืออับปาง และมีนักท่องเที่ยวติดอยู่ในเรือ เพราะถ้านักท่องเที่ยวใช้ชูชีพอย่างถูกต้อง และออกจากเรือไปลอยคอเพื่อรอการช่วยเหลืออยู่ในทะเล โอกาสในการรอดชีวิตอาจะมีมากกว่า
อุบัติเหตุจนมีการตายหมู่ของนักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้ จึงสรุปให้เห็นชัดว่าเกิดจากความประมาท ความไม่เชื่อฟังการเตือนในเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศของผู้เกี่ยวข้องกับการเดินเรือ
อีกทั้งส่วนหนึ่งมาจาก “ความไม่ใส่ใจ” ของ “หน่วยงานของรัฐ” ซึ่งต้องไปไล่เรียงว่ามีหน่วยงานไหนบ้าง “เจ้าท่าฯ” มีส่วนหรือไม่ แต่ที่ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบน่าจะหนีไม่พ้น “จังหวัด” ซึ่งมีหน้าที่ในการบูรณาการหน่วยงานทุกหน่วยในพื้นที่ และ “กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว” ที่เป็นหน่วยงานใหม่ที่มีหน้าที่ในเรื่องของการท่องเที่ยวโดยตรง
สิ่งที่เป็นเรื่องของการตั้งข้อสังเกตคือ ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐก็จะ “กูลีกูจอ” ในการใช้ “มาตรการเข้มข้น” ในการวางกฎระเบียบต่างๆ กับยานพาหนะและกับคนที่เกี่ยวข้องในช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้นก็จะกลายเป็น “มาตรการหย่อนยาน” และสุดท้ายก็กลายเป็น “มาตรการเลยตามเลย” อันแล้วแต่ “นายทุน” หรือ “ผู้ประกอบการ” จะดำเนินการอย่างไร ซึ่งก็จะไม่มีการใส่ใจ จนสุดท้ายก็หนีไม่พ้นการเกิดเรื่องแบบ “ซ้ำซาก” นำไปสู่การ “สูญเสีย” ตามมา
เชื่อเถอะครับ! กรณีการตายหมู่ของนักท่องเที่ยวกลางทะเลภูเก็ตก็เช่นกัน หลังจากที่จัดการกับศพของผู้เสียชีวิตเสร็จสิ้นแล้ว คงจะเห็นความกุลีกุจอของจังหวัดในการวางมาตรการคุ้มเข้มเกิดขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงของธุรกิจการให้บริการนักท่องเที่ยว แต่ถ้าติดตามกันให้ดีก็จะพบว่า น่าจะสักพักเดียวการคุมเข้มก็จะกลายเป็น “ความหย่อนยาน” เหมือนเดิม
เหตุผลก็คือ “ผลประโยชน์” และความเห็นแก่ตัวของนายทุน รวมทั้งในธุรกิจการท่องเที่ยวมี “มาเฟีย” ที่เข้ามาบริหารจัดการ จนกฎหมาย กฎระเบียบ หรืออำนาจรัฐตกอยู่ใต้อำนาจเถื่อนของมาเฟีย ซึ่งมีลักษณะเดียวกันหมดสำหรับเมืองท่องเที่ยวของประเทศไทย
กรณีเด็กๆ 13 ชีวิตติดถ้ำมีการ “ถอดบทเรียน” ของการช่วยเหลือเพื่อที่นำไปใช้ประโยชน์ในอนาคต ส่วนกรณีของการตายหมู่ของนักท่องเที่ยวกลางทะเลภูเก็ต เป็นเรื่องของ “บทเรียนซ้ำซาก” และจะเป็น “บทเรียนที่เจ็บปวด” สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งวันนี้เป็นเหมือน “เครื่องจักร” ตัวเดียวที่ยังเดินได้ตามปกติ
แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ตายหมู่ของนักท่องเที่ยวครั้งใหม่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวทางทะเลในไทย อาจจะส่งผลให้ “ชื่อเสียง” ของประเทศไทย “ติดลบ” ครั้งใหญ่ตามมา และน่าจะส่งผลกระทบต่อ “จำนวนนักท่องเที่ยว” ที่จะเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยอย่างแน่นอน
นับเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่ง เพราะช่วงเวลาที่ผ่านๆ มาของรัฐบาลชุดนี้ที่มัวแต่ใช้ ม.44 ไปจัดการกับเรื่อง “ร่ม” เรื่อง “เตียง” ตามชายหาด รวมถึงกับเรื่อง “รุกล้ำ” พื้นที่ทางทะเล แต่กลับไม่เคยได้ใช้จัดการกับ “มาเฟีย” และ “ความหย่อนยาน” ในกฎระเบียบต่างๆ ทั้งกับเจ้าหน้าที่รัฐและนายทุนเจ้าของธุรกิจการท่องเที่ยว
เช่นเดียวกับ “กอ.รมน.ภาค 4” ที่มัวแต่ใช้อำนาจจัดการกับ “เจ้าของโรงแรม” แต่ไม่ได้แก้ปัญหาเพื่อ “คุ้มครองชีวิตนักท่องเที่ยว” จนสุดท้ายเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่กลางทะเลภูเก็ต จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวทั่วโลก
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของการ “ถอดบทเรียน” แต่เป็นการ “ถอดเสื้อผ้า” จนล่อนจ้อน ซึ่งแสดงให้เห็น “เนื้อแท้” ของการบริหารจัดการในเรื่องการท่องเที่ยวของ “ไทยแลนด์แดนกะลา” นั้นเอง