คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย : ไชยยงค์ มณีพิลึก
จากการที่โจรใต้หรือแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนหันกลับมาใช้วิธีการเก่าๆ แต่ได้ผลเสมอ นั่นคือ การนำ “ระเบิดแสวงเครื่อง” ที่ผลิตขึ้นแบบง่ายๆ ไป “วางในสวนยาง” ของ “ไทยพุทธ” ในหลายอำเภอของ จ.ยะลา เพื่อทำเป็น “กับดัก” ผู้ที่เข้าไปกรีดยาง จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 รายแล้วในรอบ 8 วัน และยังมีระเบิดแสวงเครื่องที่เจ้าหน้าที่กู้ได้อีกจำนวนหนึ่ง จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทยพุทธในพื้นที่ เพราะไม่รู้ว่าการออกไปประกอบอาชีพ จะเจอกับความตาย บาดเจ็บหรือพิการในเวลาไหน
กลายเป็นว่าชีวิตของคนไทยพุทธวันนี้แขวนอยู่บนเส้นด้ายเปื่อยๆ ที่พร้อมที่จะรับ “ชะตากรรม” เพราะจะหวังพึ่งเจ้าหน้าที่รัฐให้ช่วยคุ้มครองความปลอดภัยก็ยากยิ่ง เนื่องจากเจ้าหน้าที่เองที่ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ก็ทั้ง “ถูกยิง” หรือ “ถูกระเบิด” แบบแทบจะเป็นรายวัน
สถานการณ์ของคนไทยพุทธในพื้นที่ ซึ่งในช่วง 14 ปีที่ผ่านมาต้องทนอยู่ด้วยความหวาดระแวง ทนอยู่กับราคายางที่ตกต่ำ แต่เมื่อมาเจอการ “จองเวร” จากแนวร่วมในพื้นที่ด้วยการวางกับระเบิดในสวนยาง เพื่อปิดกั้นการทำมาหากินเข้าอีก แล้วพวกเขาจะอยู่อย่างไร
สุดท้ายเมื่อ “อำนาจรัฐล้มเหลว” ไม่สามารถคุ้มครองให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชนได้ ก็คงต้อง “ทิ้งถิ่น” ย้ายออกจากพื้นที่ และที่เลวร้ายกว่าก็คือ ต้องขายเรือกสวนไร่นาในราคาถูกๆ เพื่อไป “ตายดาบหน้า” ที่ยังดีกว่าตายอย่างเปล่าประโยชน์
14 ปีของ “ไฟใต้ระลอกใหม่” ที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย ทำให้คนไทยพุทธ 200,000 คนเสียชีวิต บาดเจ็บหรือพิการไปแล้วจำนวนหนึ่ง และถูกสถานการณ์ “ไล่ล่า” จนต้องโยกย้ายออกจากพื้นที่ จนถึงขณะนี้เชื่อว่ามีคนไทยพุทธเหลืออยู่ในพื้นที่ไม่น่าจะเกิน 50,000 คน
ถ้าแผนการของโจรใต้ครั้งนี้ยังเดินหน้าต่อไปจนทำให้เจ้าของสวนหรือลูกจ้างกรีดยางไม่กล้าเข้าไปกรีดยาง และถ้าระเบิดในสวนยางลุกลามจาก จ.ยะลา ไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่มีคนไทยพุทธอาศัยอยู่ด้วย เชื่อเถอะแผนการขับไล่คนไทยพุทธให้ออกจากพื้นที่ และการบีบให้ขายที่ดินของ “ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ” ก็จะเป็นไปตามเป้าที่ต้องการ
เมื่อแผ่นดินชายแดนใต้ไม่มีคนไทยพุทธเหลืออยู่ หรือเหลืออยู่น้อยนิดมากนั้น การดำเนินงานทั้งในด้าน “การเมือง” และ “การทหาร” ของบีอาร์เอ็นฯ ก็จะเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ เจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครองคงจะแก้ปัญหาความไม่สงบยุ่งยากมากยิ่งขึ้น
การที่บีอาร์เอ็นฯ พุ่งเป้าไปยัง “เป้าหมายอ่อนแอ” ที่เป็นประชาชน นั่นคือการยกระดับความรุนแรงในพื้นที่ นั่นคือการ “ตอกลิ่ม” ระหว่างไทยพุทธกับมุสลิมให้ห่างออกไป เป็นการทำลายการแก้ปัญหาด้วย “พหุวัฒนธรรม” ที่รัฐกำลังดำเนินการอยู่
เป็นไปตามแผนการ “แยกคน” ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และเป็นการชี้ “ความบกพร่อง” ของรัฐให้คนไทยพุทธเห็นอย่างชัดเจนว่า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” บกพร่องที่ไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนไทยพุทธ และเป็นการชี้ให้ทุกภาคส่วนเห็นถึงความล้มเหลวของการ “ดับไฟใต้”
ที่สุดท้ายแล้วผิดพลาดทั้งในด้านของ “ยุทธศาสตร์” และในด้าน “ยุทธการ” เพราะถ้ายุทธศาสตร์ถูกต้อง ปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมเบาบางลง และถ้ายุทธการถูกต้อง การคุ้มครองความปลอดภัยของคนในพื้นที่ต้องได้ผล ไม่ใช่ปล่อยให้บาดเจ็บหรือล้มตายไปแบบป้องกันไม่ได้ จับใครไม่ได้อย่างที่เป็นอยู่
ความผิดพลาดของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ผิดพลาดตั้งแต่การปฏิเสธว่า “ไม่มีบีอาร์เอ็นฯ” ทั้งที่ใจกลางปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ ขบวนการบีอาร์เอ็น อีกทั้งความผิดพลาดของการ “พูดคุยสันติสุข” ก็ผิดพลาดตั้งแต่ใช้นโยบาย “ไม่พูดคุย” กับ “ผู้ก่อเหตุรุนแรง” แล้ว
เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า สถานการณ์ที่เลวร้ายล้วนมาจากฝีมือของผู้ก่อเหตุความรุนแรง เมื่อไม่คุยกับผู้ก่อเหตุ แต่ไปคุยกับกลุ่มที่ไม่ใช่ผู้ก่อเหตุ แล้วความรุนแรงมันจะลดลงได้อย่างไร
นี่คือความผิดพลาดในเรื่องของ “นโยบาย” ของผู้นำหน่วยทั้ง 2 หน่วย ส่วนความผิดพลาดของหน่วยกำลังในพื้นที่คือการ “สร้างเงื่อนไข” ให้เกิดขึ้น เช่น กรณีการจับตายแนวร่วมโดยไม่จำเป็น เหมือนการจับตาย “สุไลมาน” ที่ อ.กระพ้อ จ.ปัตตานี กลายเป็นว่ามวลชนของบีอาร์เอ็นฯ ในพื้นที่ “ไฟเขียว” ให้บีอาร์เอ็นฯ เอาคืนกับชาวไทยพุทธ เพื่อเป็นการแก้แค้นที่เจ้าหน้าที่ไม่ยึดถือกฎหมาย นี่ก็เป็นการชี้ถึงความบกพร่องของเจ้าหน้าที่อีกประเด็นหนึ่ง
ถ้าข่าวที่ได้รับมาจาก “แหล่งข่าว” ที่เกาะติด “ดูลเลาะ แวมะนอ” ผู้นำหมายเลข 1 ของบีอาร์เอ็นฯ เป็นความจริงว่าจะหยุดการก่อเหตุร้ายกับไทยพุทธในสวนยาง เพราะถือว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปจนมีไทยพุทธบาดเจ็บไปแล้ว 5 รายใน 8 วัน เป็นการ “ให้บทเรียน” หน่วยงานของรัฐแล้ว นั่นก็ถือว่าเป็น “ข่าวดี” สำหรับชาวไทยพุทธ
แต่ถ้าข่าวที่ได้รับเป็นความจริงว่าเป้าหมายต่อจากไทยพุทธ ต่อจากการวางระเบิดในสวนยาง ต่อไปจะเป็น “อส.” และ “ชรบ.” ก็ถือว่าเป็น “ข่าวร้าย” ที่หน่วยงานเหล่านี้ต้องเร่งหาข่าว หาข้อเท็จจริง และต้องวางแผนในการป้องกัน เพราะเมื่อวันที่ 4 ก.ค.2561 ที่ผ่านมามีหนังตัวอย่างที่เกิดจากฝีมือแนวร่วมคือ การปลิดชีพ “รปภ.โรงเรียน” ที่เป็นลูกจ้าง 4,500 ไปแล้ว 1 ราย พร้อมทั้งยึดอาวุธปืนคาร์บินไปด้วย
รวมทั้งในวันที่ 1 ส.ค.2561 ที่จะถึงถือเป็น “วันชาติบีอาร์เอ็นฯ” ซึ่งหน่วยข่าว เชื่อว่าบีอาร์เอ็นฯ มีแผนในการก่อเหตุร้ายในพื้นที่ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของ จ.สงขลาครั้งใหญ่ อาจจะเป็น “แผนรวมดารา” คือการก่อเหตุกระจายในพื้นที่ หรือการก่อเหตุใหญ่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งอย่างแน่นอน
การที่ “การข่าว” แจ้งเตือนกันแต่เนิ่นๆ ก็ได้แต่หวังว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่จะสามารถวางแผนในการป้องกันด้วยการควบคุมพื้นที่ ควบคุมการเคลื่อนไหวของแกนนำและแนวร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้ไม่มีการก่อเหตุได้อย่างอิสระ
ในส่วนของไทยพุทธในพื้นที่ ซึ่งวันนี้จากการติดตามความเคลื่อนไหวพบว่า มีด้วยกัน 2 กลุ่มระหว่าง “กลุ่มโลกสวย” กับ “กลุ่มที่อยู่กับความเป็นจริง” มีการพยายามรวมกลุ่มกันเพื่อเคลื่อนไหวและเรียกร้องให้รัฐเข้ามาแก้ปัญหาที่ไทยพุทธถูกกระทำ แต่ก็ไม่ได้ผลมากนัก เพราะเป็นการรวมกลุ่มแบบ “หลวมๆ” ที่ไม่มีทั้งยุทธศาสตร์และยุทธการในการขับเคลื่อนที่เป็นกระบวนการ แต่ถนัดที่จะใช้ “คีย์บอร์ด” ในการแสดงความคิดเห็นเป็นหลัก
สิ่งที่กลุ่มไทยพุทธควรใช้โอกาสที่บีอาร์เอ็นฯ ใช้ความรุนแรงกับพวกเขาในครั้งนี้คือ การรวมตัวเรียกร้องไปยังหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าเป็น กองทัพ, กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า, ศอบต. และรัฐบาล เพื่อให้รับรู้สภาพที่แท้จริงของปัญหาและความต้องการของคนไทยพุทธ รวมทั้งขอคำตอบจากรัฐบาลในการแก้ปัญหาและการดูแลไทยพุทธในพื้นที่ เพราะ 14 ปีที่ผ่านมาเนิ่นนานเกินไปแล้ว
เช่นเดียวกับ “สื่อ” ในพื้นที่ ซึ่งวันนี้หมดเวลาในการตั้งหน้าตั้งตาที่จะ “รับใช้” หน่วยงานรัฐในการเสนอข่าว “เชิงบวก” ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ทำให้ไฟใต้เย็นลงแต่อย่างใด
“คนสื่อ” ต้องช่วยกันนำเสนอสิ่งที่เป็น “ด้านมืด” เพื่อนำไปสู้ความ “สว่าง” เพื่อให้รัฐบาล กองทัพและหน่วยงานต่างๆ ใน “ส่วนกลาง” รวมทั้งประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ถึงการที่สื่อทำหน้าที่รับใช้หน่วยงานของรัฐ อันหาใช่แนวทางในการมีส่วนร่วมเพื่อช่วยกันดับไฟใต้แต่อย่างใด