xs
xsm
sm
md
lg

ดับไฟใต้ด้วยการ “พาโจรกลับบ้าน” กับ “ส่งฝรั่งกลับเมือง” อย่างไหนควรทำก่อน?! / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ เข้าหารือและกระชับสัมพันธ์กับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เมื่อเดือน ม.ค.2561 ที่ผ่านมา
 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
 
.
การเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ครั้งล่าสุด เพื่อติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเน้นการลงไปยัง จ.นราธิวาส โดยเฉพาะกับ “อ.เจาะไอร้อง” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” หรือ “เซฟตี้โซน อันเป็นผลจากกระบวนการ “พูดคุยสันติสุข ที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยภายหลังการเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่ในประเทศมาเลเซีย
 
แสดงให้เห็นว่า ผบ.ทบ. “เข้าใจโจทย์ ของปัญหาความไม่สงบและความรุนแรงที่เกิดขึ้นจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ปัญหาทั้งหมดมาจาก “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่ในเวลานี้มี “บีอาร์เอ็นฯ” เป็นหัวหอก
 
และก็สอดคล้องกับ “ข่าววงใน ที่ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้เคยเรียก “ทีมงานกดับไฟใต้” ไปกำชับให้เร่งดำเนินการแก้ปัญหาให้คลี่คลายโดยเร็ว โดยมีความเห็นที่ตรงกับ ผบ.ทบ.ที่มีการ “ตั้งโจทย์” ที่ถูกต้องไว้ว่า ในพื้นที่มีขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นจำเลยหลัก
 
จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งที่เข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศกว่า 4 ปีแล้ว แต่กลับไม่ได้แก้ปัญหาไฟใต้ให้ตรงประเด็น
 
เพราะรัฐบาลมัวแต่ “ขี่ม้าเรียบค่าย” เชื่อฟังกระทรวงต่างประเทศที่ระบุว่า ถ้ายอมรับว่ามีขบวนการบีอาร์เอ็นฯ และยอมรับว่าขบวนการนี้เป็นผู้บงการสร้างสถานการณ์ไฟใต้ นั่นจะเป็นการ “ยกระดับ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนให้เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล
 
อันเป็นเหมือนรัฐบาล “เห็นด้วย” กับมุมมองของ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ที่ไม่เคยเห็นว่ามีขบวนการบีอาร์เอ็นฯ อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จริง หรืออาจจะบอกว่าขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ไม่เคยอยู่ในสายตาเลยก็ได้
 
ทั้งที่ข้อเท็จจริง ณ วันนี้เรื่องของบีอาร์เอ็นฯ ไม่ใช่เป็นเรื่อง “ลี้ลับ” อะไรเลย แล้วการยอมรับว่าบีอาร์เอ็นฯ คือ “ศัตรู แล้วเข้าจัดการแก้ไขทั้งใน “ทางเปิดเผย” และใน “ทางลับ” นั่นไม่ใช่เป็นการยกระดับบีอาร์เอ็นฯ แต่เป็นการใช้ “ยุทธศาสตร์” ที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลต่างหาก
 
แถมวันนี้ไทยกลับยังปล่อยให้องค์กรระหว่างประเทศอย่าง คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เข้ามาปฏิบัติการแบบ “เกินหน้าที่ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งนั่นเท่ากับได้ปล่อยให้องค์กรนี้ทำหน้าที่ “ยกระดับปัญหาไฟใต้ ทั้งในและนอกพื้นที่ได้อย่างออกหน้าออกตา
 
ถ้าเวลานี้ไฟใต้ถูกยกระดับไปแล้วจริง ก็ต้องบอกว่าทั้ง “รัฐบาล” และ “กองทัพ” นั้นแหละที่ปล่อยให้ “ฝรั่ง” พวกนี้เข้ามายกระดับไฟใต้ ทั้งในยังเป็นการสร้างความเข้าใจแบบผิดๆ ให้กับคนในพื้นที่ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ฝักใฝ่ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ
 
แต่ที่น่ากลัวมากคือ ฝรั่งพวกนี้คือผู้ที่ “ประสานงาน” กับบีอาร์เอ็นฯ ในประเทศมาเลเซียแบบ “เข้าใจ เข้าถึง” พร้อมทั้งยังช่วย “วางยุทธศาสตร์” ในการเจรจาสันติภาพกับฝ่ายรัฐไทยเสียด้วย
 
การที่ทางการไทยปล่อยให้ฝรั่งพวกนี้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แบบเกินหน้าที่ อีกทั้งผิดจังหวะเวลาของสถานการณ์ไฟใต้ด้วย นั่นคือ “ความผิดพลาด” และ “ความอ่อนหัด ของทั้งรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง
 
และที่สำคัญหากในวันนี้ถ้ามีการตั้งถามว่า คนไทยควรจะเลือกสิ่งไหนดีระหว่างโครงการ “พาโจรกลับบ้านกับโครงการ “ส่งฝรั่งกลับเมือง เชื่อว่าคำตอบที่จะได้จากคนไทยแบบเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกันคือ รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงสมควรจะเลือกทำในอย่างหลังก่อน
 
เนื่องเพราะองค์กรเหล่านี้ทั้ง คณะกรรมการกาชาดสากล ทั้ง กลุ่มแพทย์ไร้พรมแดน ทั้ง เจนีวา คอร์ ล้วนคือกลุ่มก้อนของพวกที่ทำหน้าที่ “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” อย่างแท้จริง
 
แต่แม้ว่ารัฐบาลและ คสช.อาจจะตื่นช้าไปบ้างกับการที่จะมีแผนดับไฟใต้อย่างถูกทิศถูกทาง นั่นคือการ จัดการกับบีอาร์เอ็นฯ ทั้งในทางเปิดและทางลับ เพราะเหลือเวลาอีกไม่นานที่ไทยจะมีการเลือกตั้ง อันจะเป็นผลให้มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่ถ้ารัฐบาล คสช.สมควรจะนำเอาข้อเท็จจริงของไฟใต้ส่งให้ สภาความมั่นคง(สมช.) เป็นผู้ดำเนินการสร้างยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ให้ถูกทาง ซึ่งก็ยังดีกว่าที่จะอยู่กันแบบ “ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ เหมือนที่ผ่านมา
 
เพราะการไม่ยอมรับความจริงที่มีอยู่ และการตะแบงว่าไฟใต้เกิดจาก “ภัยแทรกซ้อน” เช่นอ้างว่าเป็นฝีมือของ 4-5 ตระกูลใหญ่ที่เป็นผู้บงการสร้างสถานการณ์เพื่อทำลายเศรษฐกิจ เป็นต้น วิธีการแบบนี้ล้วนเป็นการ “กลบเกลื่อน” ข้อเท็จจริงของปัญหาทั้งสิ้น
 
หากทั้งรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงยังคงใช้วิธีตะแบงและกลบเกลื่อนไม่ให้ที่ไปที่มาของไฟใต้ที่ถูกต้องชัดเจน สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาจึงคือ “การตาย” และการ “บาดเจ็บ” ของเจ้าหน้าที่กับประชาชนมีแต่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้ว “งบประมาณ” จำนวนมหาศาลก็ยังจะต้องถูกหว่านลงมาเพื่อถมทับปัญหาบนกองไฟใต้ต่อไป
 
แล้วมีสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยนั่นคือ “การค้าสงครามอันเป็นเช่นเดียวกับที่ พล.อ.อักษรา เกิดผล ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีทำหน้าที่หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทย ซึ่งได้เคยกล่าวผ่านสื่อมวลชนไว้ว่า มีหน่วยงานในพื้นที่มีส่วนในการสร้างเหตุการณ์ความไม่สงบนั่นเอง
 
เพราะความจริงที่ปรากกฎในวันนี้มัน “ค้ำคอของทั้งรัฐบาล คสช. และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ว่า สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ในเดือนรอมฎอนที่เหลืออีกไม่กี่วันแล้วในปีนี้ โดยภาพรวมสถานการณ์กลับยังเกิดเหตุร้ายอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจยังคงต้องสาระวนอยู่กับการป้องกันเหตุร้าย
 
สำหรับเรื่องของภัยแทรกซ้อนเองก็ยังไม่ได้หยุดความรุนแรงลงแต่อย่างใด ทั้งยาเสพติด น้ำมันเถื่อน และที่ต้องพูดถึงเป็นกรณีพิเศษคือ เรื่องการทำลายทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาพของ “ท่อนซุง” ท่อนใหญ่ๆ ที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุมได้จาก จ.ยะลา นั่นถือเป็นโจทย์ที่ฟ้องถึง “ความล้มเหลว ของกองกำลังทหารกว่า 60,000 คนในพื้นที่ ซึ่งนอกจากจะป้องกันโจรก่อการร้ายไม่ได้แล้ว กลับยังป้องกัน “มอดไม้ ที่มีความสามารถน้อยกว่าโจรก่อการร้ายไม่ได้อีกด้วย
 
อีกทั้งยังมองผ่านไปถึงความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องของฝ่ายปกครอง ซึ่งมีผู้นำท้องที่และผู้นำท้องถิ่นเป็นกำลังสำคัญ มีทั้งคนที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนายก อบต. โดยทั้งหมดต่างรู้เรื่องราวในทุกปัญหาของพื้นที่อย่างดี แต่กลับไม่รู้อยู่เรื่องเดียวคือ “เรื่องการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน”
 
และนี่ต่างหากคือ “ความไม่เอาไหน” ของฝ่ายปกครองตั้งแต่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด จนถึงนายอำเภอเลยทีเดียว ที่ยังไม่สามารถ “ใช้งาน เจ้าหน้าที่ท้องที่และท้องถิ่นให้สมกับที่พวกเขาเป็นคนของกรมการปกครอง และรับเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน
 
นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงผู้นำคณะรัฐบาลของประเทศมาเลเซียจาก นายนาจิบ ราซัค มาเป็น ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ความจริงสิ่งนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงไทยจะได้ฉวยโอกาสในการ ปรับเปลี่ยนแนวทางการพูดคุยสันติสุข เพื่อใช้เป็นตัวหนุนช่วยดับไฟใต้ในทางเปิดให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
 
โดยให้เลิกการพูดคุยแบบ “ปาหี่ ไปเสีย ให้เหลือไว้เฉพาะส่วนที่เป็นการพูดคุยแบบเป็นเรื่องราวชัดเจน โดยให้มีคู่กรณีสำคัญอย่าง “ตัวแทนของบีอาร์เอ็นฯ” อยู่ในกระบวนการพูดคุยอย่างถูกต้อง เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน
 
ต้องยอมรับว่าขณะนี้คนในพื้นที่และองค์กรทั้งในและต่างประเทศต่างจับตามองว่า รัฐบาลและ คสช. รวมทั้ง พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจะดำเนินการสานต่อกันอย่างไรกับการผลักดันให้เกิด “โต๊ะพูดคุยสันติสุข ครั้งใหม่ให้เดินหน้าต่อภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ของมาเลเซีย
 
ทั้งนี้หลังจากที่มาเลเซียมีรัฐบาล ดร.มหาเธร์ชุดใหม่ ฝ่ายรัฐไทยเราได้มีการนำเสนอเพื่อการเดินหน้าโต๊ะพูดคุยสันติสุขอย่างไรบ้าง แล้วมาเลเซียมีการสนองตอบแบบไหน ถ้าไม่มีการสนองตอบจากรัฐบาลมาเลเซียแล้ว การที่ฝ่ายไทยเราปล่อยตัวแกนนำคนสำคัญของบีอาร์เอ็นฯ อย่าง “มะนาเซกับพวกรวม 3 คน” ที่เป็นนักโทษเด็ดขาดออกมาจากเรือนจำเพื่อให้มาช่วยขับเคลื่อนการสร้างเซฟตี้โซนที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เรื่องนี้จะเอาอย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นที่จับตาใกล้ชิดและสังคมก็กำลังรอคำตอบจากรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงนั่นเอง
 
ณ วันนี้ปัญหาเหล่านี้ควรต้องมี “คำตอบที่ชัดเจน” จากทั้งรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง แนวทางดับไฟใต้ต้องมีทิศทางที่ “ชัดเจน” เสียที และต้องไม่มีการ “ขึงพืด” ประชาชนในพื้นที่เพื่อให้เป็นเหยื่อของสถานการณ์อีกต่อไป
 
เนื่องเพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายต่าง “อิ่มหนำ” กับงบประมาณดับไฟใต้กันแล้วถ้วนหน้า ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ไฟใต้สมควรที่จะต้อง “ยุติลง” กันเสียที
 


กำลังโหลดความคิดเห็น