โดย…ไชยยงค์ มณีพิลึก
.
เป็นปีที่ 4 ของการเข้ามายึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นปีที่ 4 ที่ประเทศที่คนไทยทุกคนมีหุ้นส่วนอยู่คนละ 1 หุ้นเท่าเทียมกัน แต่ถูกบริหารโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ที่กลุ่มคนในนาม “กกปส.” เชื้อเชิญมาให้มานั่งเป็น “ท่านผู้นำ” และเป็น 4 ปีที่ปรากฏผลชัดเจนกับคนไทยส่วนใหญ่คือ ต่างประสบผลกระทบจาก “ความยากจน” ทั้งแผ่นดินถ้วนหน้ากับนโยบาย “เตะตัดขา” เพื่อ “โหลดเตี้ย” อย่างมีความเท่าเทียมกันหมด
เพราะคำพูดที่ออกจากปาก “ขุนทหาร” และ “เสนาบดี” กระทรวงที่รับผิดชอบเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนว่า “เศรษฐกิจดีขึ้น” โดยมีตัวเลขของหน่วยงานเหล่านั้นที่ชี้วัดด้วยตัวเลขว่า เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอีกจาก 3.1% เพิ่มขึ้นเป็น 4.7% แล้ว แต่ความเติบโตเหล่านี้กลับไม่เคยตกมาถึงประชาชน ทั้งระดับกลางและระดับล่างแต่อย่างใด
สำหรับ “เมืองหาดใหญ่” ที่เป็นหัวเมืองเศรษฐกิจหลักของภาคใต้ ก็ต้องนับเป็นเมืองหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบต่อปากท้องของประชาชนอย่างชัดเจน ติดตามรายงานข่าวทางไทยพีบีเอสและยูทูบของ สิทธิชัย หยุ่น ที่รายงานข่าวเรื่อง “ความซบเซา” ของเศรษฐกิจที่กระทบปากท้องของคนเมืองหาดใหญ่แล้ว ก็ต้องบอกได้ว่าวันนี้เมืองหาดใหญ่ “ไม่เหมือนเดิม” อีกแล้ว
ถ้าต้องการที่จะให้เมืองหาดใหญ่ “ยิ่งใหญ่” เหมือนในอดีต มีแต่กลุ่มคนและกลุ่มองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงควรต้อง “ตั้งวง” แล้วทำการ “สุมหัว” กันถกให้ถึงแก่นแกนของประเด็นปัญหา เพื่อจะได้ร่วมกันหาทางออกจากวิกฤตในครั้งนี้
ปัญหาความซบเซาของเมืองหาดใหญ่นั้น ทุกประเด็นที่มีการ “ตั้งโจทย์” นับว่าถูกต้องหมด อาทิ เมืองหาดใหญ่ “ไม่มีจุดขาย” หรือ “ขาดมนต์เสน่ห์” ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกแล้ว ถ้าจะต้องนั่งรอแต่คนมาเลเซียและสิงคโปร์อย่างเดียว โอกาสที่จะพลิกฟื้นคืนเมืองหาดใหญ่ให้กลับมายิ่งใหญ่ไม่มีแน่นอน
หรือบอกว่าความซบเซาของตัวเมืองหาดใหญ่ถึงขั้นมีการ “ปิดร้านรวง” ไปแล้วมากมาย มีการประกาศ “เซ้งร้านค้า” ไปทั่วทั้งเมือง ไม่เว้นแม้กระทั่งใน “ย่านทำเลทอง” อย่างย่านถนนนิพัทธ์อุทิศ 1, 2, 3 ที่มีให้เห็นทั่วไป ซึ่งเกิดจากการรุกคืบของ “ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่” ไปทุกมุมเมือง และการเกิดขึ้นของ “ร้านสะดวกซื้อ” ที่ผุดพรายกันไปทุกหนแห่งอย่างกับดอกเห็ดในหน้าฝน จนทำให้ “คน” และ “เงิน” ถูกดูดไปไว้ในมือของ “ทุนใหญ่” จนทำให้เหลือเพียง “เศษเงิน” เท่านั้นที่ตกอยู่กับร้านค้าในท้องถิ่นเพียงวันละไม่กี่อัฐกี่พด
ทั้งหมดคือ “โจทย์” ที่เกิดขึ้นกับเมืองหาดใหญ่ ซึ่งคนหาดใหญ่โดยเฉพาะ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” หรือ “ผู้ได้รับผลกระทบ” จะต้องนำไป “ขบคิด” ว่าจะทำอย่างไรถึงจะช่วยกัน ”ตีโจทย์” เหล่านี้ให้แตก
แน่นอนนอกจาก “ภาคเอกชน” ที่ต้องออกมาขับเคลื่อน เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจในกลุ่มตนเองแล้ว ผู้ที่มีหน้าต้องแก้ไขด้วย แต่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ “หน่วยงานรัฐ” โดยมี “ผู้ว่าราชการจังหวัด” เป็นตัวจักรสำคัญในการประสานกับองค์กรภาคเอกชน รวมถึงระดับกรม กองและกระทรวงต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จนไปถึง “รัฐบาล” หรือ “ผู้นำรัฐบาล” ผู้ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาและเป็นผู้สนับสนุนในด้านงบประมาณ
นอกจากนี้แล้วโดยเฉพาะ “หน่วยงานท้องถิ่น” อย่าง “เทศบาลนครหาดใหญ่” ย่อมเป็นหน่วยงานที่สำคัญยิ่งในการกำหนด “ยุทธศาสตร์” กำหนด “แผนพัฒนาเมือง” แม้กระทั่งเป็น “แกนนำสำคัญ” ในการที่ต่อลมหายใจของเมืองหาดใหญ่ เพื่อทำให้เมืองหาดใหญ่มี “ความรุ่งเรือง” และยังคงเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจ” ของภาคใต้อย่างในอดีต
วันนี้ “คนหาดใหญ่” จึงต่างจับตามองและติดตามข่าวการเลือกตั้งครั้งหน้าของ “เทศบาลนครหาดใหญ่” ที่ถูก “ผูกขาด” โดย ดร.ไพร พัฒโน มาหลายสมัยแบบไร้คู่แข่ง เพราะความเป็น “สีเสื้อฟ้า” ของ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งเป็นพรรคที่อยู่ในหัวใจของคนใต้มานาน
สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าของเทศบาลนครหาดใหญ่นั้น ขณะนี้มีชื่อที่ “ผู้ใหญ่” ในพรรคประชาธิปัตย์บางส่วนสนับสนุนให้ลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นนายกเทศบาลนครหาดใหญ่แล้วคือ พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี ซึ่งขณะนี้รับราชการในตำแหน่ง ผบช.ตำรวจท่องเที่ยว และจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้
ครั้งแรกมีข่าวว่าการมีชื่อของ “พี่หลวงสาคร” ติดโผเนื่องจาก “น้องไพร” เป็นผู้เชิญมา อีกทั้งมีการนำเสนอต่อ “เสาหลัก” ของพรรคประชาธิปัตย์อย่าง นายชวน หลีกภัย ไปแล้ว จนทุกคนเชื่อว่า “ชีวิตถนนการเมือง” ในอนาคตหลังเกษียณน่าจะถูกปูลาดด้วย “พรมแดง” แบบไม่ต้องเหนื่อยมากนักกับการหาเสียง และน่าจะไม่ต้องทุ่มใช้เงินในการ “เลี้ยงน้ำชาชาวบ้าน” อย่างนักการเมืองทั้งหลายด้วย
แต่สุดท้ายการเมืองก็คือการเมือง การเมืองยังเป็นเรื่องที่กลิ้งกลมยิ่งกว่าลูกบิลเลียด เพราะวันนี้ “น้องไพร” กลับลำประกาศชัดแล้วว่า จะยังไม่ “ล้างมือ” หรือ “ถอนตัว” จากการลงรับเลือกตั้งนายกเทศบาลนครหาดใหญ่อย่างที่เป็นข่าว
อย่างไรก็ตามก็ต้องถือเป็น “โชคดี” ของคนหาดใหญ่ที่ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าจะได้มีเวลาในการ “ใคร่ครวญ” ว่าจะเลือกใครมาเป็นผู้บริหารเทศบาลนครหาดใหญ่ เพราะตำแหน่งนี้มีความสำคัญยิ่งในการพัฒนาเมืองในการ “แก้ปัญหาที่รุมเร้า” ทั้งในเรื่องความซบเซาในด้านการท่องเที่ยว และในเรื่อง “ความเสดสา” ของผู้หาเช้ากินค่ำ หรือผู้ที่เป็นพ่อค้าแม่ขาย ที่วันนี้ต้อง “แบกหนี้” และ “แบกดอดเบี้ย” เพื่อรอวันที่ เมืองหาดใหญ่จะกลับมา “สดใส” เหมือนเดิม
ดังนั้นการเสนอตัวของ “พี่หลวงสาคร” เป็น “ทางเลือกใหม่” ของคนหาดใหญ่ และการประกาศรักษาตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ในสมัยต่อไปของ “น้องไพร” จึงต้องวัดกันที่ “กึ๋น” ว่าในระหว่าง 2 คนนี้ใครจะมี “วิสัยทัศน์” ของการเป็น “ผู้นำที่สอดคล้องกับยุคสมัย” เพื่อช่วยขับเคลื่อนเมืองหาดใหญ่ให้ไปสู่ “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” อีกครั้ง
คงต้องดูกันต่อไปว่าระหว่าง “ตำรวจอาชีพ” กับ “นักการเมืองอาชีพ” สุดท้ายแล้วยุทธศาสตร์ในการจูงใจให้คนลงคะแนนให้ของใครจะโดนใจ “คณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์” มากกว่ากัน เพราะคนที่จะได้ “สวมเสื้อฟ้า” ลงสนามแข่งขั้นครั้งนี้ย่อมที่จะได้เปรียบคู่แข่งไปแล้ว 1 ช่วงตัว
ก็ได้แต่หวังว่าครั้งนี้ “คนหาดใหญ่” คงจะตัดสินอนาคตของตนเองได้ถูกต้อง เพราะมี “เดิมพัน” ในเรื่องการ “คงอยู่” หรืออาจจะ “ล่มสลาย” ของเมืองหาดใหญ่รวมอยู่ด้วยนั่นเอง