คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู / โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
แม้ว่าโลกปัจจุบันจะก้าวสู่ยุคความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการสื่อสาร ซึ่งได้พัฒนามาไกลมากแล้วจากยุคอนารยะ แต่สังคมและวัฒนธรรมไทยยังพัฒนาไปไม่ถึงไหน โดยเฉพาะวัฒนธรรมในการเรียนรู้และสังคมแห่งข้อมูลข่าวสาร การตัดสินใจรับรู้และเชื่อในสรรพสิ่ง
สังคมไทยยังคงขับเคลื่อนสังคมด้วย “ความรู้สึกเอาเอง” มากกว่าการใช้ข้อมูล ประสบการณ์และการเรียนรู้ในการตัดสินใจเชื่อ หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งในสถานการณ์สำคัญๆ ที่ต้องตัดสินใจ บนความเป็นความตายและความเป็นไปของสังคม
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของปรากฏการณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ได้แก่ พอกลุ่มคนที่สถาปนาตัวเองว่าเป็น “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งในปลายปี ๒๕๖๑ แทนที่จะเป็นต้นปี ๒๕๖๒ ซึ่งห่างกันไม่กี่เดือน แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหลายกระทง กลุ่มคนดังกล่าวจึงถูกจับกุมและตั้งข้อหาตามที่ทุกฝ่ายคาดคิด คนในสังคมกลุ่มหนึ่งก็ออกมาตำหนิรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ และสร้างวาทกรรมต่างๆ นานา เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่มที่ถูกจับกุม
วาทกรรมสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า คนเหล่านี้ใช้ความรู้สึกเอาเอง โดยไม่คำถึงถึงข้อมูลคือ “การเคลื่อนไหวนี้เป็นสิทธิ เสรีภาพตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ” เพราะในความเป็นจริงกฎหมายของ รสช.ยังมีผลบังคับใช้ กฎหมายว่าด้วยการชุมนุมก็ยังใช้กันอยู่ ดังนั้น เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจึงต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย โดยยึดหลักที่ว่า “ไม่มีกฎหมาย ก็ไม่มีความผิด ไม่มีความผิด ก็ย่อมไม่มีโทษ”
อีกวาทกรรมหนึ่งซึ่งน่ากลัวกว่าวาทกรรมแรกคือ “คนขัดขวางการเลือกตั้งไม่ผิด แต่คนอยากเลือกตั้งกลับผิด” วาทกรรมนี้สะท้อนให้เห็นว่า เจ้าของวาทกรรมและสาวกคิดเอาแต่ได้ โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง เพราะความจริงคนที่ขัดขวางการเลือกตั้งในสมัยรัฐบาลก่อน ปัจจุบันคดีของพวกเขายังอยู่ในศาล พวกเขาต้องไปศาลอยู่เป็นระยะๆ และบางคนก็ถูกพิพากษาให้ได้รับโทษทั้งทางแพ่งและอาญาสถานหนัก
เช่นเดียวกับวาทกรรม “สองมาตรฐาน” ที่คนไทยกลุ่มหนึ่งอ้างอิงและสร้างความไม่ชอบธรรมให้กับฝ่ายที่มีอำนาจ และพวกเขาไม่นิยมชมชอบมาโดยตลอด ที่เห็นชัดเจนคือกรณี “ธรรมกาย” กับ “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ในวันเวลาก่อนหน้านี้ที่เจ้าหน้าบ้านเมืองเข้าดำเนินการจับกุมธรรมชโย เจ้าสำนักธรรมกาย และหลวงปู่พุทธะอิสระออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองและถูกครหาว่ากระทำความผิดหลายกรณี คนไทยกลุ่มนี้ก็ใช้วาทกรรม “สองมาตรฐาน” นี้จ้ำจี้จ้ำไชทุกเมื่อเชื่อวัน และก่อนหน้านั้นอดีตนายกฯ ที่หลบหนีการจับกุมอยู่ต่างประเทศก็เป็นผู้นำในการใช้วาทกรรมนี้ทุกครั้งที่ถูกดำเนินคดี หรือถูกตัดสินให้มีความผิดในทุกกรรมทุกวาระ
แต่พอหลวงปู่พุทธะอิสระถูกเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการจับกุมอย่างน่าเกลียดอุจาดตาเมื่อไม่นานมานี้ คนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งก็เงียบเหมือนถูกตบปาก บางคนก็ออกมาแสดงความสะใจและพูดในทำนองว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” และบางคนก็กลับบอกว่า “ปาหี่”
สรุปแล้วเราต่างใช้ความรู้สึก ความอคติที่เรามีต่อสรรพสิ่ง เป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร สถาบันต่างๆ เราไม่ได้ใช้ข้อมูล ข้อเท็จจริง สถานการณ์แวดล้อม ทั้งปรากฏการณ์และธาตุแท้ในการขับเคลื่อนสถานการณ์ทางสังคม
เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ป่วยการที่จะถามหาความสมานฉันท์ ปรองดอง การปฏิรูป และที่สำคัญคือ กระบวนการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยร่วมกันของคนในชาติ
นักการเมืองอันเป็นกลุ่มคนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมในทุกมิติ ก็ใช้ความรู้สึกในการเชื่อหรือไม่เชื่อประชาชนของตนเองแต่ละกลุ่ม ไม่ได้ใช้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ในการตัดสินใจสนับสนุนหรือโต้แย้ง ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงก็มีสถานภาพ วุฒิภาวะทางการเมืองและสังคมไม่แตกต่างจากนักการเมืองของเขา
ทั้งๆ ที่หลักธรรมคำสอนในทุกศาสนาต่างเน้นให้ศาสนิกชนของตนดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างรู้เท่าทันโลก รู้เท่าทันสังคม และมีหลักแห่งความเชื่อให้ยึดถือปฏิบัติ เช่น หลักกาลามสูตของพุทธศาสนิกชน เป็นต้น แต่ทำไมคนไทยและสังคมไทยยังไปไม่ถึงไหน
เมื่อเป็นเช่นนี้ สังคมประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายฝันอยากเห็นก็เป็นได้แค่ “เรื่องราวในนิทานหลอกเด็ก” อยู่ตลอดไปอย่างแน่นอน-เอวัง.