คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ประเทศไทยแบ่งส่วนราชการทางการเมืองการปกครองออกเป็น ๓ ประเภทคือ “ส่วนกลาง” ประกอบด้วย กระทรวง ทบวง กรม “ส่วนภูมิภาค” ประกอบด้วย จังหวัด อำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน “ส่วนท้องถิ่น” ประกอบด้วย เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยาและองค์การบริหารส่วนตำบล
ในบรรดาส่วนราชการในทางการเมืองการปกครองทั้งสาม มีเพียงส่วนท้องถิ่นประเภทเดียวที่มีประชากร ดินแดนและอธิปไตยหรือกฎหมายที่เป็นของตนเอง โดยส่วนกลางทำหน้าที่กำกับ และส่วนภูมิภาคทำหน้าที่ประสานงานจากส่วนกลางสู่ส่วนท้องถิ่น
ดังนั้น การเมืองการปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเป็นพื้นที่ที่มีอยู่จริงในทางปฏิบัติและเหมาะสมที่จะเป็น “โรงสอน” ประชาธิปไตย โดยเฉพาะ “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของประชาชน” เพราะเป็นพื้นที่ที่มีพร้อมทั้งประชากร ดินแดนและอธิปไตย เป็นแบบจำลองของประเทศ ผู้บริหารและนิติบัญญัติของส่วนท้องถิ่นจึงเหมือนรัฐบาล หรือสภานิติบัญญัติของประเทศๆ หนึ่งโดยปริยาย
“หลักการปกครองตนเอง” ตามหลักปรัชญาประชาธิปไตยที่ว่า “การปกครองของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน” สามารถจะเกิดและเป็นจริงได้ในการเมืองการปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วค่อยขยายอาณาเขตปริมณฑลไปยังทั่วทั้งประเทศ
แต่น่าเสียดายที่การเมืองการปกครองในประเทศด้อยพัฒนาแบบไทยทำให้ “การเมืองการปกครองส่วนท้องถิ่น” ตกเป็นเบี้ยล่างให้กับการปกครองส่วนภูมิภาค โดยออกบทบัญญัติในอดีตให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอกำกับดูแลการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดดำรงตำแหน่งหัวหน้าของการปกครองส่วนท้องถิ่นควบอีกตำแหน่ง และนายอำเภอสามารถจะแทรกแซงอำนาจของส่วนท้องถิ่นในรูปแบบต่างๆ ทั้งโดยลับและโดยแจ้ง
หลังจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ มีผลบังคับใช้ ทำให้มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นตาม พ.ร.บ.กระจายอำนาจฯ ๒๕๔๒ การเมืองการปกครองส่วนท้องถิ่นเริ่มมีความสำคัญในการบริหารจัดการชุมชนท้องถิ่น โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ “ฉบับประชาชน” แม้ว่าจะมีปัญหาอุปสรรคอยู่บ้าง เพราะข้อความในรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประโยชน์กับประชาชน แต่ถูกละเลยเพราะข้อความที่ว่า “…ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ” และผู้มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญไม่ยอมบัญญัติ (ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาก็ตาม)
แต่จะอย่างไรก็ตาม ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ หลังจากมีการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็พยายามปิดช่องว่าง “ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ไปได้บ้างตามสมควร แต่ก็ยังไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชน
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการเมืองไทยคือ การมี พ.ร.บ.กระจายอำนาจฯ ยกระดับการปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นมามีฐานะเทียบเท่าการปกครองส่วนภูมิภาค และที่สำคัญแยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองส่วนภูมิภาค มีเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรีสมฐานะการเป็นตัวแทนของประชาชน ทำให้นักการเมืองระดับชาติหลายคนหันมาสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้นำส่วนท้องถิ่นในระดับต่างๆ และตัวแทนของพรรคการเมืองใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ ต่างแย่งชิงกันลงแข่งขันเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในหลายพื้นที่ ด้วยแนวคิดที่ว่า “เป็นหัวหมา ดีกว่าหางราชสีห์” หมายถึง การเป็นนายกเทศมนตรี หรือนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด แม้จะดูว่าไม่สูงเท่าการเป็น ส.ส. นักการเมืองระดับชาติ แต่ก็มีพื้นที่ให้บริหาร มีงบประมาณให้ดูแล และมีบุคลากรในความรับผิดชอบที่ชัดเจนกว่านั่นเอง
นับจากวันนี้เป็นต้นไป “เมืองหาดใหญ่” ของเรากำลังจะเปิดศักราชของการแย่งชิงพื้นที่ของการเมืองส่วนท้องถิ่นที่สำคัญคือ “นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่” ที่ตกอยู่ในการบริหารจัดการของอดีต ส.ส.ปชป. มาหลายสมัย หลังจากถูกยึดครองโดยอดีตนายกฯ ตลอดกาลตระกูลดังของเมืองหาดใหญ่มายาวนาน ข่าวคราวที่แพร่กระจายออกมาตอนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า สมัยหน้าจะมีผู้อาสาสมัครลงแข่งขันให้ประชาชนในเขตเทศบาลเลือกตั้งอย่างน้อย ๓ คนคือ ๑. นพ.เกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา ๒. นายพฤกษ์ พัฒโน ๓. พล.ต.ท.สาคร ทองมุนี ส่วน ปลัดอ๋อย-ประสงค์ สุวรรณวงศ์ ล่าสุดยังไม่มีความคืบหน้าว่าจะยังสนใจอยู่หรือไม่
“นครหาดใหญ่” ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของภาคใต้มายาวนาน แต่หลังๆ มานี่ไม่แน่ใจว่าจะยังเป็นอยู่หรือไม่ เมื่อเทียบกับการขยายตัวและพัฒนาของเมืองหลักหลายๆ เมือง เช่น สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต กระบี่ และเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในระดับเดียวกันมาก่อน เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ฯลฯ
มีหลายสิ่งหลายอย่างในนครหาดใหญ่ที่น่าจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้ เช่น ระบบขนส่งมวลชน ระบบการจัดการจราจร ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ภูมินิทัศน์ของเมือง กิจกรรมทางวัฒนธรรม ปอดของเมือง ฯลฯ เมื่อสถานภาพของสินค้าหนีภาษีและอื่นๆ ของเมืองหาดใหญ่เปลี่ยนแปลงไป หาดใหญ่จึงต้องสร้างจุดขายใหม่ๆ ที่เป็นอัตลักษณ์และศักยภาพของเมือง เช่น ตลาดสีเขียว อาหารเพื่อสุขภาพ ผักปลอดสารพิษ งานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและศิลปะร่วมสมัย ศูนย์กลางของการคมนาคมขนส่งและการสื่อสาร แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมย่านชุมชนเมือง ฯลฯ
การเมืองท้องถิ่นหาดใหญ่ต้องตอบสนองความต้องการของสังคมสมัยใหม่ที่ปรับปรนให้สมสมัยจากวิถีดั้งเดิม โดยต่อยอดด้วยการบริหารจัดการที่มีศักยภาพ เป็นจริง มองเมืองทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะเศรษฐกิจหรือการค้าขาย แต่ต้องรวมไปถึงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ วัฒนธรรม การศึกษา สังคม สุขภาพหรือวิถีของคนในสังคมเป็นสำคัญ
อย่าเผลอให้ความเป็น “พรรคพวกนิยม” ครอบงำ จนมองไม่เห็นความจริงที่กำลังเผชิญกันอีกเลย.