xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ลวงโลก! เมื่อ “โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ออกมายันไม่มีสมาชิก IS ที่ชายแดนใต้ / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ เมื่อครั้งออกมาระบุว่า นายอาแว แวอียา เป็นแค่นักเลงคีย์บอร์ด (แฟ้มภาพ)
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
 
 
 
ฉับพลันที่สำนักข่าวเดอะ มาเลย์ เมล ได้รายงานข่าวจากการเปิดเผยของ “ผู้บัญชาการตำรวจประเทศมาเลเซีย” ถึงการจับกุมสมาชิก “กลุ่มรัฐอิสลาม” หรือ “ไอเอส” หรือ ไอซิส” จำนวน 10 คน และมี 4 คนที่หลบหนีการจับกุมไปได้ โดยมีคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลามรวมอยู่ด้วย 1 คน อุณหภูมิ ใน “กองทัพไทย” และโดยเฉพาะ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที เช่นเดียวกับสื่อทุกสำนักและทุกแขนงของไทยก็แย่งชิงกันนำเสนอข่าวว่ามีสมาชิกไอเอสใน จ.นราธิวาสอย่างเกาะติด
 
คนไทยที่ถูกทางการมาเลเซียกล่าวหาว่าเป็นแกนนำของ ไอเอสคือ “นายอาแว แวอียา” ซึ่งมีถิ่นพำนักอยู่ที่ บ้านไอร์ปาแย อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ซึ่งเป็น อ.เจาะไอร้อง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้ในวันเดียวกันว่า อำเภอนี้จะถูกประกาศให้เป็น “เซฟตี้โซน” หรือ “พื้นที่ปลอดภัย” ตามข้อตกลงบน “โต๊ะพูดคุยสันติสุข” ในปลายเดือน เม.ย.นี้
 
ในขณะที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็เป็นหน่วยงานแรกที่ออกมาแถลงข่าวเพื่อตอบโต้ข่าวของทางการมาเลเซีย โดย พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุชัดว่า ไม่มีสมาชิกกลุ่มไอเอสในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนนายอาแวก็เป็นแค่ “นักเลงคีย์บอร์ด” ที่สนุกกับการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างความสำคัญให้กับตนเอง
 
ในขณะที่ พล.อ.ประวิทย์ วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ยังออกอาการแบ่งรับแบ่งสู้ ด้วยการพูดที่ใช้คำว่า “อาจจะ” หลายครั้ง ซึ่งเป็นลักษณะของการที่ “ไม่กล้าฟันธง” ว่า แท้จริงแล้ว “มี” หรือ “ไม่มี” สมาชิกกลุ่มไอเอสในไทย
 
จากการตรวจสอบปูมหลังของนายอาแวพบว่า เขาไม่ได้เป็น “แนวร่วม” หรือเป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นขบวนการพูโล หรือขบวนการบีอาร์เอ็นฯ แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่า เมื่อนายอาแวไม่เป็นแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ภาคใต้ของไทยแล้ว นายอาแวจะต้องไม่ได้เป็นสมาชิกของขบวนการไอเอสด้วย
 
เนื่องเพราะจากการตรวจสอบประวัติของขบวนการไอเอสและผู้ฝักใฝ่ไอเอสที่มาเลเซียจับกุมได้กว่า 400 คน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีประวัติในการเป็น “แนวร่วม” กลุ่มก่อการร้ายหรือ “ขบวนการเคเอ็มเอ็ม (KMM)” ในประเทศมาเลเซีย
 
ถูกต้องที่มีการกล่าว่า นายอาแวเป็น “นักเลงคีย์บอร์ด” เพราะการขยายเซลล์ของขบวนการรัฐอิสลามไปยังคนในประเทศต่างๆ นั้น เขาเริ่มต้นที่ความเป็นนักเลงคีย์บอร์ดนี่แหละ ก่อนที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ ปลุกระดมและบ่มเพาะ แล้วสร้างอุดมการณ์จนเกิดการ “ซึมซับ” แบบ “ซึมลึก” สุท้ายก็เดินเข้าไปร่วมสมรภูมิกับกลุ่มไอเอสโดยไม่มีการบังคับแต่อย่างใด
 
ถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่า นายอาแวอยู่กับใคร ที่ไหน แต่ข่าวล่าสุดที่ตรวจสอบได้ พบว่า นายอาแวอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ชุดหนึ่ง และเชื่อว่าน่าจะมีการ “รีดข้อมูล” อยู่ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มรัฐอิสลามหรือไอซิสในประเทศมาเลเซียอย่างไร
 
แต่จากการตรวจสอบประวัติการเดินทางของนายอาแวพบว่า เขาเคยเดินทางไปประเทศมาเลเซียทางด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.สะเดา จ.สงขลา และกลับเข้าประเทศไทยทางด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ในปลายปี 2560 และหลังจากนั้นก็ไม่พบว่ามีการเดินทาง เข้า-ออกระหว่างไทยและมาเลเซียอีกเลย
 
เมื่อตรวจสอบต่อไปก็พบอีกว่า นายอาแวมีชื่อเกี่ยวข้องกับไอซิสมาตั้งแต่ปี 2559 แล้วด้วย และหน่วยงานความมั่นคงยังเคยนำตัวไป “ซักถาม” และทำประวัติมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2559
 
ดังนั้น การแถลงข่าวของ พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ว่า นายอาแวเป็นแค่นักเลงคีย์บอร์ด จึงน่าจะมาจากฐานข้อมูลเก่านั่นเอง และไม่ควรถือเป็นเรื่อง “ลวงโลก” อะไรเลย
 
แต่สิ่งที่ต้องให้ความสนใจคือ ข่าวนี้ถูกระบุว่าเปิดเผยโดย “ผู้บัญชาการตำรวจประเทศมาเลเซีย” โดยเชื่อว่านายอาแวเป็น “หัวหน้าเซลล์” ของไอเอส ซึ่งจากการสอบถาม “สายข่าว” ในรัฐกลันตัน พวกเขาเชื่อว่านายอาแวคือ “ของจริง” และทางการมาเลเซียมีความต้องการตัวเป็นอย่างยิ่ง
 
ดังนี้แล้วถ้านายอาแวยังอยู่กับเจ้าหน้าที่รัฐไทยหน่วยไหน หรือของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เองก็ตาม นั่นเป็นเรื่องที่จะต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี และไม่ควรที่จะให้ฝ่ายมาเลเซียรู้ด้วย โดยเฉพาะต้องอย่าให้มีการขอให้ส่งตัวข้ามแดนไปให้ตำรวจมาเลเซีย
 
ประเด็นต่อมาที่ต้องให้ความสนใจคือ ข่าวสารที่มาจากหน่วยงานของมาเลเซียย่อมมีน้ำหนัก เนื่องจากงานการข่าวของฝ่ายมาเลเซียเขามีประสิทธิภาพมาก สังเกตจากปี 2556-2561 ตำรวจมาเลเซียสามารถจับกุมสมาชิกกลุ่มรัฐอิสลามที่ถูกบ่มเพาะและปฏิบัติการในประเทศเขาได้ตัวไปแล้วถึงกว่า 400 คน อีกทั้งเวลานี้เขายังมีตัวเลขการตายของสมาชิกไอเอสที่เป็นคนมาเลเซียที่ไปสู้รบอยู่ใน “อิรัค” อีกจำนวนหนึ่งด้วย
 
เรื่องแบบนี้ผิดกับประเทศเราแน่นอน ซึ่งว่ากันว่าเวลานี้มีแนวร่วมในพื้นที่เป็นหมื่นๆ คน มีกองกำลังติดอาวุธที่ปฏิบัติการในจังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 5,000 คน แต่เรากลับจับกุมได้น้อยมาก น้อยจนต้องใช้วิธีพิเศษต่างๆ เพื่อให้เข้ามารายงานตัว เช่น ม.21 หรือ “โครงการพาคน(โจร)กลับบ้าน” นั่นคือความต่างกันของประสิทธิภาพระหว่างการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐไทยกับของมาเลเซีย
 
อีกทั้งในเรื่องเดียวกันนี้ นอกจากตำรวจมาเลเซียจะยืนยันหนักแน่นว่า นายอาแวคือหัวหน้ากลุ่มผู้สร้างเซลล์แล้ว ด้านหน่วยงานความมั่นคงของประเทศสิงคโปร์ก็ยังออกมาสนับสนุนข้อมูลของมาเลเซีย โดยกล่าวว่ามีความเคลื่อนไหวของไอเอสในพื้นที่ภาคใต้ของไทยอย่างเข้มข้นด้วย
 
ต้องไม่ลืมว่าหน่วยข่าวกรองของทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ของพม่า ต่างก็ถูกจัดว่ามีความเข้มแข็งและ “เข้าถึงข้อมูล” มากกว่าของไทยเรามาก แม้แต่เรื่องการก่อวินาศกรรมใหญ่ๆ หลายครั้งในไทย ประเทศ หลน่วยข่าวกรองในประเทศเหล่านี้ยังรู้ล่วงหน้าก่อนเจ้าของประเทศเสียอีก โดยมีการเตือน ประชาชนของเขาให้ระวังและป้องกัน รวมถึงให้หลีกเลี่ยงอย่าไปในสถานที่ที่เป็นเป้าหมายในการก่อเหตุ
 
ดังนั้น จึงอย่าตั้งสมมุติฐานเพียงว่า การที่มาเลเซียและสิงคโปร์ระบุว่า มีสมาชิกไอเอสฝั่งตัวอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ของบไทย นั่นเป็นเพราะต้องการที่ “ลาก” เอารัฐไทยเข้าสู่กระบวนการที่ต้องออกแรงปราบปรามขบวนการไอเอสด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของมาเลเซียและสิงคโปร์
 
หรือเป็นเพราะเราตั้งสมมุติฐานกับมาเลเซียไว้อย่างนี้ในหลายๆ ครั้งและหลายๆ เรื่อง จึงทำให้มาเลเซียเล่นละครกับเรามาโดยตลอด ตัวอย่างคือการแก้ปัญหาขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งคนร้ายทุกขบวนเวลานี้ก็ยังอยู่ในมาเลเซีย และมาเลเซียก็ให้คำตอบแก่เราเสมอมาว่า บ้านเมืองเขาไม่มีขบวนการเหล่านี้ รวมทั้งไม่มีคนร้ายที่ชื่อนั่น ชื่อนี่ ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของรัฐไทย เมื่อเราขอตัวไปทุกครั้งจึงแทบจะได้พบแต่ความว่างเปล่า
 
เรื่องราวในลักษณะเช่นนี้ต้องรวมเอาละครที่ใช้เรื่องว่า “มาราปาตานี” เข้าไว้ได้ ทั้งที่ทราบกันดีว่าละครที่เล่นกันมายาวนานเรื่องนี้ ฝ่ายมาเลเซียทำหน้าที่เป็น “ผู้บอกบท” ผ่านแกนนำของกลุ่มขบวนการต่างๆ นั่นแหละ
 
ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า มิตรภาพระหว่างไทยเรากับมาเลเซีย จึงเป็นมิตรภาพที่มีการ “ขบเหลี่ยม” และ “ปีนเกลียว” กันมาโดยตลอด ถ้าเป็นหนังกำลังภายในของปรามจารย์โก้วเล้ง ก็ต้องบอกว่านี่คือการกระทำเยี่ยง “ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” ที่พร้อมจะแทงข้างหลังกันและกันมาโดยตลอด

เป็นที่น่าสังเกตว่า บ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่มาเลเซียจับกุมแนวร่วมของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ได้ หรือแม้แต่กลุ่มค้าอาวุธ ทางการมาเลเซียก็จะออกข่าวว่าเป็นสมาชิกไอเอส ทั้งนี้เพื่อเป็นการ “ปกป้องบีอาร์เอ็นฯ” ที่พำนักอยู่ในมาเลเซียนั่นเอง
 
นอกจากนี้แล้วยังเพื่อต้องการสร้างข่าวว่า มีไอเอสอยู่ในภาคใต้ของไทย เพื่อให้ไทยเข้าร่วมวงไพบูลย์ในการปราบปรามไอเอสให้กับมาเลเซีย เช่นเดียวที่เคยหลอก “ขุนทหารไทย” ในยุคหนึ่งให้ช่วยปราบ “โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา (จคม.)” ให้กับมาเลเซียจนสำเร็จมาแล้วนั่นเอง
 
จึงยังต้องจับตามองกันต่อไปว่า เมื่อมาเลเซียไม่สมประโยชน์ในการที่จะขอ “ยืมมือ” ให้ไทยช่วยกำจัดไอเอส สิ่งนี้จะส่งผลถึง “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” ที่มาเลเซียมีบทบาทในการเป็นผู้อำนายความสะดวกหรือไม่ อย่างไร ก็ต้องรอดูต่อไป เพราะสำหรับมาเลเซียแล้ว “แต้มคู” ต่อเรื่องการพูดคุยสันติสุขนั้น เขาถือไพ่ที่เหนือกว่าไทยเราอยู่มากโขและต่อเนื่องมายาวนานแล้ว
 
บ้านเราจะมีไอเอสเคลื่อนไหวอยู่หรือไม่ นี่คือประเด็นที่สังคมต้องการรู้ ซึ่งตามข้อเท็จจริงต้องยอมรับว่า 2-3 ปีที่ผ่านมามีกลุ่มผู้ฝักใฝ่ไอเอสอยู่ในไทยเราจริงประมาณ 5-6 คน ซึ่งอาศัยอยู่ในทั้ง จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส โดยมีความพยายามที่จะ “บ่มเพาะคนรุ่นใหม่” ให้กลายเป็นผู้เห็นด้วย จนสามารถที่จะจัดตั้ง “เครือข่าย” ของขบวนการไอเอสขึ้นจนสำเร็จ
 
ที่ผ่านมาบ้านเมืองไทยเรามีไอเอสเข้าๆ ออกๆ อยู่บ่อยครั้ง โดยอาศัยเป็น “ทางผ่าน” และเป็นสถานที่ “พบปะ” แต่ยังไม่มีแผนที่จะก่อวินาศกรรมขึ้นในพื้นที่ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นที่ภาคใต้หรือภาคอื่นๆ เพราะยังไม่มี “เงื่อนไข” และยังไม่มีใคร “ว่าจ้าง” ให้ปฏิบัติการ
 
ขบวนการไอเอสจะเข้าร่วมหรือหลอมร่วมเป็นเนื้อเดียวกันกับขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ที่เป็นภัยคุกคามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเราหรือไม่ คำตอบที่ได้ในวันนี้คือ ยังไม่มีความร่วมมือกัน โดยยังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแยกกันอยู่อย่างชัดเจน ดังนั้นถ้าจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเกิดมีกลุ่มไอเอสในอนาคต นั่นก็ต้องถือเป็นกลุ่มก่อการร้ายสากลกลุ่มใหม่ ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหม่ที่เพิ่มเข้ามาของฝ่ายความมั่นคงนั่นเอง
 
แต่ก็อยากบอกว่า อย่าประมาท หรือคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมีข่าวกรองบางชิ้นจากบางประเทศ โดยเฉพาะที่เกาะติดความเคลื่อนไหวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า มีมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 2 ประเทศกำลังสร้างสัมพันธ์กับผู้นำขบวนการบางคนในประเทศที่ 3 โดยมีเป้าหมายที่ประเทศไทย และพุ่งเป้าในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างตามยุทธศาสตร์ที่เขาต้องการ
 
ณ วันนี้อย่างเพิ่งบอกว่าในประเทศไทยเรา “ไม่มีไอเอส” แบบเดียวกับที่ท่องคาถาว่า “ไม่มีบีอาร์เอ็นฯ” การก่อวินาศกรรมที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของภัยแทรกซ้อน เป็นเรื่องของขบวนการค้ายาเสพติด เป็นเรื่องของคน 4-5 ตระกูลที่มีผลประโยชน์อยู่ในพื้นที่
 
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ต้องถามว่า มีจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องนัดพบกับ “ดูลเลาะ แวมะนอ” ผู้นั่งเป็นเบอร์ 1 ของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ เพื่อเจรจากันที่ประเทศอินโดนีเซีย และมีจำเป็นแค่ไหนที่ต้องปล่อย “3 นักโทษเด็ดขาด” เพื่อต้องการให้ช่วยขับเคลื่อนการกำหนดพื้นที่ “เซฟตี้โซน”
 
หน่วยงานความมั่นคงบนแผ่นดินไฟใต้ต้องตอบ 2 ประเด็นนี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยเชิดหน้าเชิดตาปฏิเสธเรื่องราวเหล่านั้น เพื่อจะทำประชาชนเชื่อถือได้สนิทใจ
 
และสุดท้ายถ้าไทยเราไม่เคยมีบีอาร์เอ็นฯ ไม่เคยมีพูโล หรือไม่เคยมีขบวนการแบ่งแยกดินแดนในชื่ออื่นๆ มาเลย วิกฤตไฟใต้ที่เกิดขึ้นมีแต่ปัญหา “ภัยแทรกซ้อน” ซึ่งในภูมิภาคอื่นๆ ของไทยเราก็มีอยู่
 
ดังนี้แล้วสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ต้องตัดสินใจคือ ถอนทหารและขนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ออกไปจากแผ่นดินไฟใต้กลับไปไว้ในกรมกองให้หมด เพื่อประหยัดงบประมาณ
 
เนื่องจากไม่มีประเทศไหนที่ต้องใช้กองกำลังถึง 80,000 คน พร้อมรถถังและอาวุธหนักทุกชนิด อันต้องใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านบาทในแต่ละปีต่อเนื่องมายาวนาน ทั้งนี้เพื่อใช้ในการปราบผู้มีอิทธิพลแค่ 4-5 ตระกูล และภัยแทรกซ้อนอย่างพ่อค้ายาเสพติด น้ำมันเถื่อนและบ่อนการพนัน
 
เนื่องเพราะ “ยุทธวิธี” อย่างนี้ไม่ทราบว่า “กองทัพ” จะเรียกอะไร แต่ชาวบ้านต่างเรียกกันมานานแล้วว่า เป็นการ “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” หรือการ “ล้างผลาญงบประมาณแผ่นดิน” นั่นเอง
 


กำลังโหลดความคิดเห็น