คอลัมน์ : ชกหมัดตรง
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ตั้งใจว่าจะย้ายมุมจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใตไป “ชกหมัดตรง” ในพื้นที่ จ.สงขลา ว่าด้วยเรื่องใบอนุญาตการทำงาน “แม่บ้าน” ที่สำนักงานแรงงานจังหวัดออกให้กับ “คุณโสฯ” ทั้งที่เป็น “คนไทย” “คนลาว” และ “สาวพม่า” ที่เกลื่อนเมืองทั้งที่ “หาดใหญ่” และ “ด่านนอก” ใน อ.สะเดา จ.สงขลา
แต่ปรากฏว่าเรื่อง “โกงในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม” ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังควรต้องมีลูกติดพัน ไม่จบง่าย เพราะ บิ๊กอาร์ท-พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ท่านได้ประกาศที่จะทำหน้าที่ “หมอผี” ไล่จับ “เด็กผี” และ “ครูผี” ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เนื่องจากมีการโกงเงินอุดหนุนเด็กหัวละ 14,000 บาท/หัว จึงทำให้ต้องจำใจร่ายเรื่องนี้ต่อ
เพราะล่าสุดพิษเด็กผีได้ทำให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งย้ายด่วน นายทรงพล ขวัญชื่น ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชน จ.ปัตตานี ไปช่วยราชการที่กระทรวงศึกษาฯ และย้าย นายสุรเดช มู่เก็ม ผู้อำนวยการสำนักการศึกษาเอกชน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ไปไว้ที่ สช. จ.พัทลุง
แถมมีข่าวว่ายังมีเจ้าหน้าที่ของ สช.อีกจำนวนหนึ่งที่รอคิวเพื่อ “ขึ้นเขียง” จากการเปิดปฏิบัติการตามยุทธวิธีของ พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผบ.ฉก.ปัตตานี ในการกวาดล้างขบวนการสร้างเด็กผีที่โกงงบอุดหนุนหัวละ 14,000 บาทในกระทรวงศึกษาธิการ
เท่าที่ทราบมีการตรวจค้นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามไปแล้ว 6 โรงใน จ.ปัตตานี โดยโรงเรียนล่าสุดคือ “โรงเรียนประสานวิทยามูลนิธิ” อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ซึ่งที่นี่นอกจากยึดได้เอกสารหลักฐานต่างๆ ไปตรวจสอบแล้ว ยังได้ยึดเงินสด 1,200,000 บาท เพื่อนำตรวจสอบหาที่มาที่ไปด้วย
แต่โรงเรียนที่น่าสนใจที่สุดถ้าฟัง “ทหาร” พูดฝ่ายเดียวคือ “โรงเรียนบากงวิทยา” อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพราะโรงเรียนนี้โดนไปถึง 2 ข้อหาคือ ข้อหาโกงเงินอุดหนุนนักเรียนรายหัวจากที่มีการทำบัญชีเด็กผี และข้อหาที่ร้ายแรงกว่าคือ มีการนำเงินไปสนับสนุนกล่มก่อการร้าย
มีตัวละครที่เป็น “แนวร่วม” หรือ “โจรใต้” หลายคนที่เคยก่อคดีไว้ อาทิ วางระเบิดห้างบิ๊กซี ปล้นรถจากเต็นท์รถมือสองที่ อ.นาทวี จ.สงขลา เพื่อนำไปทำคาร์บอมบ์ รวมถึงอีกหลายคดีที่เกิดในพื้นที่ จ.ปัตตานี
ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ และตรงกับประเด็นที่ผู้เขียนได้เปิดประเด็นอย่างต่อเนื่องไว้ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา นั่นคือเรื่องของ “ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ” ได้กลับเข้าไปยึดโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาและสถาบันการศึกษาต่างๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้แล้วอีกครั้ง
เคยมีคนถามว่าแล้วบีอาเอ็นฯ ยึดไปทำอะไร คำตอบคือ ยึดไปเพื่อทำให้เกิด “การศึกษาเชิงเดี่ยว” โดยการส่ง “อุสตาซ” เข้าไปเป็นผู้สอนศาสนาเพื่อ “บ่มเพาะ” ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการ “คัดเลือก” นักเรียนที่ “มีแวว” เข้าสู่ “ขบวนการเยาวชนปฏิวัติ” เพื่อเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน “การแบ่งแยกดินแดน” ในอีก 15 ปีข้างหน้า
ช่วงนั้นข่าวนี้ถูกกล่าวหาจาก “นายพล” ใหญ่ๆ ในกองทัพและใน กอ.รมน.ว่า “เหลวไหล” แต่จากการตรวจสอบโรงเรียนหและสถาบันการศึกษาหลายแห่งกลับพบว่า บีอาร์เอ็นฯ ได้ส่งคนเข้าไปบ่มเพาะนักเรียนและนักศึกษาไว้เรียบร้อยแล้ว อันเป็นเช่นเดียวกับก่อนที่มีการกวาดล้างใหญ่ในปี 2547 เป็นต้นมา
โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาหลายโรงกำลังจะเดินตามรอยของ “โรงเรียนญิฮาดวิทยา” ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และ “โรงเรียนสัมพันธ์วิทยา” ที่ จ.นราธิวาส
ดังนั้น วันนี้ เวลานี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะฉวยโอกาส “ตีเหล็ก” ที่กำลังร้อนด้วยการ “เปิดยุทธการ” ในทุกพื้นที่เพื่อการตรวจสอบโรงเรียนเหล่านี้ เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่าตั้งขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร วิธีการโกงที่เกิดขึ้นขัดกับ “หลักการศาสนา” หรือไม่
หากพบหลักฐานที่แน่ชัดว่า โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาโรงไหนให้การส่งเสริมสนับสนุนการก่อการร้าย สิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องทำคือ ไม่เพียงแต่จับกุมดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น แต้ต้อง “ยุบ” ไปด้วยทุกโรงเรียน
ถ้าทำอย่างนี้ได้จึงจะถือว่า คสช. คือผู้ที่มี “คุณูประโยชน์” ต่อกระบวนการ “ดับไฟใต้” อย่างแท้จริง เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องเร่งในการดำเนินการ และต้องดำเนินการทุกจังหวัด ซึ่งไม่ใช่แค่ จ.ปัตตานีเท่านั้น
เมื่อ “แม่ทัพ” ตัดสินใจที่จะเป็น “หมอผี” วิธีแก้ปัญหาการโกงในโรงเรียนก็อย่าทำแค่จับ “เด็กผี” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องกล้าที่จะจับ “ครูผีบีอาร์เอ็นฯ” ที่แฝงตัวในโรงเรียนด้วย เพราะไม่เช่นนั้นก็เท่ากลับได้ปล่อยให้มีการสร้าง “กองกำลังทหารเด็ก” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เอาไว้ต่อสู้กองกำลังรัฐได้นั่นเอง
สงสัยแต่ว่า หมอผีจะทำแค่เล่นไล่จับเด็กผี แต่ไม่กล้าจับ “ผีตัวใหญ่” อย่างบีอาร์เอ็นฯ เพราะก่อนหน้านี้เหล่า “นายพลในกองทัพ” ต่างปฏิเสธคอเป็นเอ็นว่า “บีอาร์เอ็นฯ ไม่มีอยู่แล้ว” นั่นเอง