คอลัมน์ : ชกหมัดตรง
โดย : ไชยยงค์ มณีพิลึก
“ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง” น่าจะเป็นคำเปรียบเทียมที่ใกล้เคียงที่สุดกับการเดินทางมาเหยียบแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ จ.ปัตตานี ของ “บิ๊กตู่ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.พร้อมคณะ ซึ่งเป็นการเดินทางมาตรวจเยี่ยมและติดตาม “โครงการเมืองต้นแบบ” ที่ถูกชูเป็น “จุดขาย” ทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้
ที่ต้องบอกว่าเป็นเหมือน “ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง” เพราะดูได้จากหนังสือ “คำสั่ง รปภ.” นายกรัฐมนตรีและคณะ ทั้งจากฟากฝ่ายทหารและฝ่ายตำรวจแล้ว จะเห็นว่าเป็นการสั่งการให้ส่งกำลังอารักขาเหมือกับ “บิ๊กตู่” เป็นยิ่งกว่า “ไข่ในหิน” ไม่พียงเท่านั้นยังดูเหมือนว่า “ปัตตานี” คือดินแดนสุดแสนจะ “อันตราย” ที่ผู้นำประเทศมี “ศัตรู” จ้องทำร้ายอยู่ทุกอณูพื้นที่และทุกนาทีที่ต้องเหยียบย่างบนแผ่นดินนี้
ที่สำคัญอย่างมากคือ คำสั่งในการอารักขานายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ในครั้งนี้ ถึงขั้นมีการสั่งการว่า “บริเวณชั้นในและชั้นกลาง ให้เจ้าหน้าที่ห้ามพกพาอาวุธโดยเด็ดขาด” แสดงให้เห็นว่าการลงพื้นที่ของท่านพญาเหยียบเมืองในครั้งนี้ เกิดความไม่ไว้วางใจแม้แต่กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง
แสดงให้เห็นว่า จ.ปัตตานี วันนี้ยังเป็นพื้นที่ “อันตราย” ที่แม้แต่ผู้นำประเทศยังไม่มีความปลอดภัยแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนในพื้นที่จะปลอดภัยและจะมั่นใจได้อย่างไร
สำหรับวาระของการเดินทางมา จ.ปัตตานี ในหนนี้เน้นหนักในเรื่องการขับเคลื่อน “โครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” รวมถึงในเรื่องของพืชเศรษฐกิจ ปศุสัตว์ และเกษตรอุตสาหกรรม
ที่ตลกไม่ออกคือ เป็นการพูดเรื่อง “พืชเศรษฐกิจ” ในขณะที่รัฐบาลขอร้องให้ชาวสวนโค่นต้นยางทิ้ง และเป็นการพูดถึงเรื่อง “เกษตรอุสาหกรรม” ที่เน้นเรื่องของการปลูกปาล์ม ปลูกมะพร้าว เพื่อส่งเข้าโรงงานอุตสาหกรรม ในขณะที่ข้อเท็จจริงราคาปาล์มเหลือตกต่ำเหลือเพียง 2.60 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 3.50 บาทต่อกิโลกรัม
นอกจากนี้แล้วยังเป็นการพูดถึงเรื่องของ “ปศุสัตว์” ในขณะที่ข้อเท็จจริงของ “ตลาดกลางปศุสัตว์” ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งรัฐบาลเพิ่งลงทุนก่อสร้างไปด้วยงบประมาณถึง 21 ล้านบาท แต่เวลานี้กลายเป็นที่หลับนอนของทหาร และที่เต้นแอโรบิคของประชาชน
ถ้านึกภาพไม่ออกก็อยากจะบอกว่า “ตลาดกลางปศุสัตว์” ดังกล่าวนั้นก็คือสถานที่เดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์เองเคยเดินทางมาเป็นประธานในการตัดริบบิ้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และในขณะที่ท่านถือไมค์อยู่ในมือก็ได้เกิดเหตุ “วิวาทะ” กับตัวแทนผู้ประกอบการประมงจนเป็นข่าวใหญ่และโด่งดังกระฉ่อนไปทั้งในและนอกประเทศ
อย่างไรก็ตามอยากจะบอกว่า ในวันที่ช้างลงมาเหยียบนา พญาลงมาเหยียบเมืองยัง จ.ปัตตานีหนนี้ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องอย่าลืมนำ “ท่านผู้นำ” ไปชมดู “ตลาดกลางปศุสัตว์” ที่ท่านเป็นประธานตัดริบบิ้นด้วยนะ เพื่อที่จะได้เห็นว่างบประมาณที่ลงทุนไปถึง 21 ล้านบาท ได้สร้างความ “รุ่งเรือง” หรือ “รุ่งริ่ง” ให้กับชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร และเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับงบประมาณแผ่นดินถึง 21 ล้านบาทหรือไม่
ไม่เพียงเท่านั้นท่ามกลางการนำคณะเดินทางสู่แผ่นดินภาคใต้ครั้งนี้ ยังมีการพูดถึงเรื่องการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชน แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ในขณะที่ผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวที่มีอยู่แล้วกลับ “เหี่ยวเฉา” แถมเมืองท่องเที่ยวอย่าง “หาดใหญ่” และ “ด่านนอก” ก็กำลังกลายเป็น “เมืองร้าง” ในอีกไม่นาน
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการพูดถึงความคืบหน้าของ “ท่าเรือปัตตานี” และ “สนามบินเบตง” ที่เป็นเรื่องราวของของ “นายทุน” แต่ลืมพูดถึงเรื่อง “โครงการขยายรันเวย์สนามบินบ่อทอง” จ.ปัตตานี ที่ชาวบ้านไม่เอาด้วย
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการพูดถึงการบริหารจัดการเรื่อง “พลังงาน” ในขณะที่ในแผ่นดินภาคใต้เต็มไปด้วย “น้ำมันเถื่อน” ที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งเวลานี้เจ้าของธุรกิจปั๊มหลายแห่งกำลังกระอักเลือด อีกทั้งยังถูกกระหนำทบด้วยปรากฏการณ์ “ร้านสะดวกซื้อ” ไม่กล้าดำเนินการในปั๊มน้ำมัน เพราะได้เกิดเหตุการณ์ที่น้ำมัน ปตท.เพิ่งจะถูกก่อวินาศกรรมจนเกิดเพลิงไหม้เป็นข่าวใหญ่โตที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานีเมื่อปี 2560 ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เอง
แต่ที่น่าสังเกตเป็นพิเศษคือ การลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หนนี้ของ “ท่านผู้นำ” หนนี้ “ไม่มีวาระงาน” อะไรเลยที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ “โครงการจัดซื้อตู้น้ำพลังแสงอาทิตย์” ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูงเวอร์ถึงตู้ละ 550,000 บาท ซึ่งดำเนินการโดย “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.)” ทั้งที่เพิ่งจะเป็นข่าวใหญ่ และล่าสุดมีการยืนยันว่าผู้ที่เซ็นอนุมัติคือ “บิ๊กป้อม - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ชายที่แสนดีที่นั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
นอกจากนี้ก็ยังไม่มีการตรวจติดตาม “โครงการก่อสร้างเสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์” และ “โครงการก่อสร้างสนามฟุตซอล” ที่ในเวลานี้เกิดความเสียหายแบบที่ประชาชนบ่นอุบว่า นอกจากจะไม่คุ้มค่ากับเงินงบประมาณนับล้านบาทที่ถมลงไปแล้ว ยังมากมายไปด้วยข้อกังขาที่อยากให้มีการตรวจสอบว่า อาจจะมีการ “ทุจริต” เกิดขึ้นก็เป็นไปได้
อีกทั้งยังไม่มีการพูดถึงเรื่องการทุจริตในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา และการทุจริตอีกมากมายในโครงการต่างๆ ในพื้นที่ “ไฟใต้” ซึ่งล้วนเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนต้องการให้มีการแก้ไข
โดยเฉพาะเรื่องการจัดการศึกษาให้กับ “คนไทยพุทธ” ที่วันนี้ยังไม่รู้ว่าเหลืออยู่ในพื้นที่ถึง 50,000 คนหรือไม่ จากที่เคยมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 300,000 คน
ทั้งหมดคือสิ่งที่คนในพื้นที่ทั้ง จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส ต้องการที่จะได้ยินจากเรียวปากบางของ “ นายผู้นำ” ว่าจะทำอย่างไรกับปัญหาเหล่านี้
เพราะหากปัญหาเหล่านี้ถูกกวาดไปกองไว้ใต้พรม ที่ผ่านๆ มายังไม่เคยได้รับการแก้ไขหรือแม้กระทั่งใส่ใจใดๆ จากผู้มีอำนาจ จึงเหมือนกับ “ไฟกองเก่า” ยังไม่ถูกดับ แล้วเราจะสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยังยืน ให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ได้อย่างไร
และในวันที่หน่วยงานราชการไทยหากถูก “ทุบ” ลงตรงไหนก็มีแต่เรื่อง “โกง” ปรากฏตรงนั้น งบประมาณที่กำลังจะถูกเทมาลงนับพันล้านบาท นับหมื่นล้านบาท โดยเฉพาะกับ “โครงการเมืองต้นแบบ” นั้น ประชาชนจะเชื่อได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยแบบเดิมๆ ที่เคยฉาวโฉ่มาแล้ว
ก็ได้แต่หวังว่า “ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง” ของ พล.อ.ประยุทธ์บนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้ คงจะไม่ได้แค่มา “ฟังคำหวาน” ของข้าราชการประจำ และเพลินเพลินกับการ “โอ้โลมปฏิโลม” จนละเลยข้อเท็จจริงที่เป็น “รากเหง้า” ของแผ่นดินแห่งไฟใต้
เราดีใจที่ท่านมา แต่เราจะดีใจมากกว่า ถ้าท่านมาเพื่อรับรู้ “ของจริง” จากชาวบ้าน มากกว่าการฟัง “พาวเวอร์พอยท์” ของบรรดาข้าราชการที่เป็น “นักรบในห้องแอร์” และ “นักค้ากำไรจากงบประมาณ” บนแผ่นดินปลายด้ามขวานทองของไทยของไทย