ปัตตานี - คืบหน้าหลังจากแม่ทัพภาค 4 แจงโรงเรียนเอกชนบางแห่งใน จ.ปัตตานี ทุจริตงบประมาณของรัฐ เสียหายปีละไม่น้อยกว่า 700 ล้านบาท ขณะที่ภรรยาโต๊ะครูแจงที่มาของเงินที่ถูกเจ้าหน้าที่ยึด 1 ล้านบาทเศษ เผยเป็นเงินฝากของชาวบ้าน
วันนี้ (3 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเหตุเจ้าหน้าที่ทหาร สนธิกำลังเข้าปิดล้อมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการตรวจสอบบัญชีการเงินของโรงเรียน และเพื่อตรวจยึดเอกสารที่เกี่ยวโยงกับเหตุความไม่สงบในพื้นที่ ตามที่การข่าวแจ้งมา และการซัดทอดของสมาชิกแนวร่วมที่ซัดทอดมานั้น
ล่าสุดวานนี้ (2 เม.ย.) ที่ มทบ.46 ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ หนองจิก จ.ปัตตานี พล.ท.ปิยะวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 แถลงข่าวกรณีที่มีการทุจริตเงินอุดหนุนโรงเรียนเฉพาะ จ.ปัตตานี ทุจริตปีละไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท และยังพบข้อมูลมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่
พล.ท.ปิยะวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า จากการตรวจสอบโรงเรียนเอกชนในพื้นที่ จ.ปัตตานี พบหลักฐานที่น่าเชื่อว่ามีโรงเรียนบางแห่งที่มีพฤติกรรมทุจริตงบประมาณของรัฐ เป็นมูลค่าความเสียหายของรัฐประมาณปีละไม่น้อยกว่า 700 ล้านบาท ทำให้เยาวชนที่อยู่ในวัยการศึกษา ตามระบบการศึกษาภาคบังคับเสียโอกาสทางการศึกษา หรือเสียประโยชน์อันพึงได้ประมาณปีละ 101,000 คน จากนักเรียนทั้งหมด 165,072 คน มีครูที่ได้รับการการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐเป็นค่าตอบแทนรายเดือน เสียประโยชน์อันพึงได้ประมาณ 4,000 คน
ประมาณการจากหลักฐานที่ปรากฏ และการสอบสวนผู้เกี่ยวข้อง พบว่างบประมาณของรัฐได้ถูกใช้จริงเพียงร้อยละ 40 มีการทุจริตประมาณร้อยละ 60 จากเงินอุดหนุนการศึกษาของ จ.ปัตตานี ปีละประมาณ 1,260 ล้านบาท ถูกเบียดบังไปเพื่อประโยชน์โดยทุจริตประมาณปีละ 760 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งน่าเชื่อว่าอำพรางด้วยรายชื่อของบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีคุณวุฒิด้านใด และมีความเหมาะสมอย่างไร
“พบว่าโรงเรียนบางแห่งมีพฤติกรรมให้การสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรง พบพฤติกรรมของบุคคลากรทางการศึกษาบางคน เป็นผู้ทำหน้าที่สอนบิดเบือน ปลูกฝังความคิดความเชื่อแนวทางรุนแรง ปลูกจิตสำนึกเกลียดชังรัฐ และปลูกฝังความคิดแบ่งแยกระหว่างประชาชนต่างศาสนาให้กับนักเรียน แล้วคัดเลือกนักเรียนไปพัฒนาต่อยอดให้เป็นสมาชิกปฏิบัติการของผู้ก่อเหตุรุนแรง”
จากการตรวจค้นโรงเรียน 5-6 แห่ง ในพื้นที่ จ.ปัตตานี เป็นการขยายผลจากเมื่อวันที่ 27 ม.ค.2561 ฉก.ปัตตานีได้สนธิกำลังร่วมกัน เข้าทำการตรวจสอบภายในโรงเรียนบากงพิทยา บ้านบากง ต.บางเขา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
ผลจากการดำเนินการตรวจพบเอกสารปลุกระดมมวลชน เพื่อสร้างความวุ่นวาย และก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน ถังดับเพลิง และถังแก๊สปิกนิกที่เก็บไว้ในลักษณะอำพรางซุกซ่อน ไม่ได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ อาจมีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ที่น่าสงสัย และตรวจพบหลักฐานการทุจริตงบประมาณในการอุดหนุนการศึกษาของรัฐ การให้การสนับสนุนผู้ก่อเหตุรุนแรงที่อำพรางเป็นบุคลากรทางการศึกษาอยู่ในโรงเรียน
ยังพบพฤติกรรมการทุจริตงบประมาณของรัฐในการให้การสนับสนุนการศึกษา บัญชีรายชื่อนักเรียนที่ไม่ตรงกับจำนวนที่เข้าเรียนจริง เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีนักเรียนที่มิได้เข้าเรียนจริงจำนวนหนึ่ง ในจำนวนนี้พิสูจน์แล้วยืนยันว่าไม่ได้เข้าเรียน จำนวน 3 คน ที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ใบเสร็จรับเงินที่จัดซื้อหนังสือเรียนที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ตรวจสอบแล้วเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนที่เกี่ยวข้องยอมรับว่าได้จัดซื้อจริงเพียงร้อยละ 20 ส่วนที่เหลือให้ร้านค้าเขียนใบเสร็จเต็มจำนวนเพื่อให้ได้ประโยชน์จากส่วนต่าง
มีการจ่ายค่าตอบแทนครูน้อยกว่าที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด คือกระทรวงศึกษาธิการจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนให้ครูที่บรรจุตามวุฒิ รายละ 15,000 บาท แต่โรงเรียนจ่ายให้ประมาณ 7-8 พันบาท โดยอ้างว่าเป็นความสมัครใจของครู เพื่อนำเงินส่วนต่างมาเฉลี่ยจ่ายให้บุคคลอื่นที่ไม่ได้บรรจุตามวุฒิ กรณีนี้แม้จะอ้างว่าเป็นข้อตกลงร่วมกัน แต่ก็มีผลต่อขวัญกำลังใจ และคุณภาพการศึกษาที่อาจจะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
มีการจ่ายค่าเสี่ยงภัยของครูน้อยกว่าที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด กล่าวคือกระทรวงศึกษาธิการจ่ายค่าเสี่ยงภัยให้ครู รายละ 2,500 บาทต่อเดือน แต่โรงเรียนจ่ายให้เพียง 1,000-1,500 บาท โดยอ้างว่าต้องนำมาเฉลี่ยให้ครูที่ไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดวัตถุประสงค์แห่งรัฐ และทำให้ครูมีขวัญกำลังใจตกต่ำ
เมื่อตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่ใช้เพื่อเบิกงบประมาณของรัฐ พบว่ามีสถานประกอบการห้างร้านที่เกี่ยวข้อง ร่วมกระทำความผิดในฐานะผู้ให้การสนับสนุนอีกหลายแห่ง จึงทำการตรวจสอบพบหลักฐานการเขียนใบเสร็จเกินจริง โดยร้านเจ๊ะฆูฟาฏอนี พบหลักฐานใบเสร็จ และเอกสารสั่งให้ดำเนินการออกใบเสร็จให้กับโรงเรียนแห่งหนึ่ง แนบอยู่กับใบเสร็จดังกล่าวด้วยว่า ให้ซื้อสินค้า มูลค่า 720,258.52 บาท ยอดเขียนใบเสร็จ 1,772,495 บาท ส่วนต่าง 1,052,236.50 คูณ 8% ค่าบิล 84,158.90 บาท แสดงให้เห็นว่ามีการร่วมกันกระทำการปลอมแปลงเอกสารอันเป็นเท็จ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการเบิกงบประมาณจากรัฐ และเมื่อทำการตรวจสอบไปยังโรงเรียนดังกล่าว ก็พบหลักฐานที่ตรงกันกับที่ร้านเจ๊ะฆูฟาฏอนีออกให้จริง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน และสอบปากคำไว้แล้ว
จากการตรวจสอบร้านเจ๊ะฆูฟาฏอนี พบว่ามีผู้เกี่ยวข้องเป็นกรรมการบริหาร อีกส่วนหนึ่งที่จดทะเบียนจัดตั้งร้านค้าตามมติของสมาคมฯ ที่มีการรวมตัวกันของผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้บริหารโรงเรียนหลายแห่ง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น และมีส่วนได้จากเงินปันผลที่ร้านดังกล่าวออกใบเสร็จในลักษณะขายใบเสร็จ
ปรากฏหลักฐานที่เจ้าพนักงานได้ทำการตรวจยึดไว้แล้ว รวมทั้งพนักงานของร้านเจ๊ะฆูฟาฏอนี ได้ให้การไว้แล้วว่า มีพฤติกรรมการออกใบเสร็จเกินจากที่ซื้อจริง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป สำหรับสมาคมดังกล่าว หากตรวจพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกระทำความผิด ก็จะต้องดำเนินคดีกับผู้บริหารต่อไปด้วย
ส่วนพฤติกรรมการให้การสนับสนุนผู้ก่อเหตุรุนแรง พบว่าโรงเรียนบากงพิทยา ได้จ่ายเงินรายเดือนให้กับ นายซาการียา หัดสมัด ซึ่งเป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรง และเป็นผู้ก่อเหตุร้ายหลายคดี ประกอบด้วย การก่อเหตุเผาหัวจ่ายน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท.ดอนยาง ก่อเหตุกราดยิงบ้านเรือราษฎรที่ริมถนนหมายเลข 43 แยกดอนยาง อ.หนองจิก เป็นเหตุให้ราษฎรบาดเจ็บ 8 ราย และก่อเหตุระเบิด เผาสถานีบริการน้ำมัน ปตท.ดอนยาง ถูกจับกุมเมื่อพฤศจิกายน 2560 ปัจจุบันถูกควบคุมตัวในเรือนจำอยู่ระหว่างดำเนินคดี
“ปรากฏหลักฐานว่า โรงเรียนได้จ่ายค่าตอบแทนรายเดือนให้กับนายซาการียา หัดสมัด ตั้งแต่ปี 2554 อย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนถึงปัจจุบัน”
นอกจากนี้ พบพฤติกรรมอำพรางในการสนับสนุนเงินผ่านบุคคลากรทางการศึกษา ที่เป็นเครือญาติของนายเมาลานา สาเมาะ แกนนำสั่งการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ ต.ท่ากำชำ และนายอับดุลสะตอปา สุหลง แกนนำสั่งการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี สำหรับนายเมาลานา สาเมาะ เป็นบุคคลที่ถูกสำนักงาน ป.ป.ง.ขึ้นบัญชีประกาศรายชื่อเป็นบุคคลที่ถูกกำหนดตามกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายอีกด้วย และน่าเชื่อว่ามีการให้การสนับสนุนผู้ก่อเหตุรุนแรงรายอื่นๆ อีกหลายคน โดยทำธุรกรรมอำพรางผ่านผู้ที่ถูกแอบอ้างเป็นบุคคลากรทางการศึกษาบางคนในโรงเรียน
หากพบว่าบุคคลใดให้การสนับสนุนด้วยประการใดๆ กับบุคคลที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้ประกาศรายชื่อเป็นผู้ถูกกำหนด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ จึงขอแจ้งให้บุคคลที่รู้หรือสงสัยว่าตนเองถูกใช้จ้างวานให้ทำการใดอันเป็นการสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอให้มารายงานตัวกับหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ เพื่อจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
“ถ้าไม่มารายงานตัวแล้วอาจจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ อาจจะมีผลให้ต้องถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และอาจจะถูกยึดทรัพย์อีกด้วย”
ตอนนี้คณะทำงานเฉพาะกิจ ฉก.ปัตตานี ได้จัดทำรายงานเฉพาะกรณีเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายให้หน่วยเหนือได้พิจารณาแก้ไขอย่างเป็นระบบแล้ว โดยให้มีกระบวนการตรวจสอบ และควบคุมมาตรฐานการเรียนการสอน มีการวัดผลเชิงคุณภาพ และมีการดูแลครูผู้สอน ทั้งครูที่มีวุฒิตามที่กระทรวงศึกษากำหนด และบุคคลากรทางการศึกษาที่มีวุฒิต่ำกว่ากำหนดอย่างทั่วถึงต่อไปแล้ว
ในส่วนของโรงเรียนประสานวิทยามูลนิธิ พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผบ.ฉก.ปัตตานี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้เข้าตรวจค้นโรงเรียนประสานวิทยามูลนิธิ มีการค้นอาคารทั้งหมดที่ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียน พร้อมยึดเงินสด 1,227,980 บาท และเอกสารหลายรายการ กำลังตรวจสอบว่าจะมีการทุจริตงบอุดหนุนโรงเรียน และกำลังตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการหรือไม่ การตรวจค้นโรงเรียนตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.2561 ค้นโรงเรียนมาทั้งหมด 5-6 แห่ง
“หลังค้นโรงเรียนประสานวิทยามูลนิธิ ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ยังพบเอกสารการฝึกที่บ้านพักเด็ก ซึ่งโรงเรียนจะรู้เห็นหรือไม่ คือสิ่งที่จะต้องมาตรวจสอบกันต่อไป”
“จากภาพรวมที่มีการตรวจค้นโรงเรียนมา 5-6 แห่ง ใน จ.ปัตตานี สามารถควบคุมตัว นายมูหัมมัดนาสีรูดดิน เล๊ะนุ๊ นายกสมาคมโรงเรียนเอกชนปัตตานี และได้เชิญตัวเจ้าหน้าที่ สช. และที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลแล้วปล่อยตัวกลับ 7-8 คน”
สำหรับการทุจริตเงินอุดหนุนของโรงเรียนเอกชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานเป็นสิบๆ ปี แต่ไม่มีมีหน่วยงานไหนกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว โดยเฉพาะสำนักงานการศึกษาเอกชนหรือ สช. ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง แต่ไม่กล้าที่จะตรวจสอบ ทั้งการเงิน การบริหาร และการเรียนการสอน
“ทำให้โรงเรียนบางแห่งทำบัญชีผี โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาในพื้นที่มี 200 กว่าโรง มีการตรวจสอบพบโรงเรียนที่เข้าข่ายทุจริตแล้วไม่ต่ำกว่า 100 โรงเรียน”
ด้านนายมูฮำหมัด หะยีเต๊ะ ผู้อำนวยการโรงเรียนประสานวิทยามูลนิธิ กล่าวว่า มั่นใจว่าตัวเองไม่มีอะไร ยืนยันไม่มีความคิดเกี่ยวข้องกับขบวนการอย่างที่ถูกกล่าวหา รู้สึกงงกับข่าวที่ออก พร้อมชี้แจงทุกเรื่อง และขอความเป็นธรรมกับโรงเรียน และกับตัวเองด้วย
ทหารมาตรวจค้นที่โรงเรียนได้ยึดเอกสารทางการเงิน บัญชีครู บัญชีการเงิน ทะเบียนรถที่ขับ พร้อมยึดโฉนดที่ดินของพ่อ และของชาวบ้านที่เอามาฝากไว้ 60 ใบ ก่อนที่จะไปค้นที่บ้านแม่ และยึดเงินซึ่งเก็บไว้ในกระเป๋าเล็กๆ แยกไว้จำนวนหลายใบ ในจำนวนเงินนั้นเป็นเงินคนแก่ที่มาพักที่ปอเนาะ เงินลูกพี่ลูกน้องที่พึ่งกลับจากต่างซาอุฯ 4-5 แสนบาท เงินเก็บของแม่และของพ่อ เงินที่เก็บจากนักเรียนที่กำลังจะจบคนละ 500 บาท เป็นค่ารูปถ่ายวันรับใบประกาศนียบัตร เงินจากรายได้สวนยางของญาติที่อยู่ซาอุฯ เงินจากร้านค้าของแม่ที่ขายข้างในโรงเรียน เงินของน้องสาว บางส่วนเป็นเงินที่อยู่ในซองสีชมพู ซึ่งเป็นเงินจากบริษัทรถบัสอับดุลกอเดร์บิสเนส ที่เปิดบริการรถเช่าเหมาเพื่อทัศนะศึกษาดูงาน ภายในซองนอกจากเงินสดแล้วยังมีบิลค่าน้ำมัน บิลค่าซ่อมรถ และมีการบันทึกไว้หน้าซองเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับรถที่ออกให้บริการทุกครั้ง
“โรงเรียนฯ เรามีเด็กที่เรียนอยู่ 3,584 คน ครู 216 คน ที่จบไปเป็นปลัด เป็นข้าราชการก็เยอะ สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน และจังหวัด เราพร้อมให้ตรวจสอบ และสามารถชี้แจงได้ทุกรายการ เวลาประชุมบอกครู และเด็กนักเรียนทุกครั้ง ห้ามทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบ ถ้าเจอจะต้องถูกไล่ออก ผมอยากอยู่สบายๆ ข้างนอก ไม่มีใครอยากไปอยู่ในคุก จึงไม่ไปหาเรื่องอย่างที่ถูกกล่าวหา”
ด้านนางฮามีดะห์ หะยีเต๊ะ (มามาดะห์) ภรรยาอดีตโต๊ะครูอับดุลกอเดร์ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนเบาอย่างสุภาพ เพราะเป็นภรรยาโต๊ะครูมาก่อน พร้อมหยิบกระเป๋า และซองที่ใส่เงินสดที่ถูกเจ้าหน้าที่ยึด เล่าให้ฟังว่า เงินที่เจ้าหน้าที่ยึดไปตรวจสอบนั้น เป็นเงินที่เก็บรวบรวมมาจากหลายส่วน โดยส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของชาวบ้านในละแวกโรงเรียน เพราะชาวบ้านที่นี้ส่วนใหญ่มีความผูกพันกับครอบครัวโต๊ะครู และเป็นที่ไว้วางใจของชาวบ้าน จึงมักจะนำเงินมาฝากไว้กับโต๊ะครู ถึงแม้บาบออับดุลกอเดร์ หรือโต๊ะครูได้เสียแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังผูกพันและเชื่อใจกันอยู่ ส่วนใหญ่ก็เป็นเงินไว้เพื่อฌาปนกิจศพรายละประมาณ 2 หมื่นบาท ทางเราจึงแลกเป็นธนบัตรแบงก์ใบ 20 บาท เพื่อสะดวกที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินการจัดการศพ
นอกจากนั้น ยังเป็นเงินญาติที่กลับมาจากเมกะ เพื่อเก็บไว้ปลูกสร้างบ้าน เมื่อทราบข่าวว่าถูกเจ้าหน้าที่ยึดไว้ตรวจสอบจึงล้มป่วยทันที เพราะตกใจกลัวจะไม่ได้คืน และทุกวันนี้พักอยู่บ้านเช่ากลัวจะไม่มีเงินค่าเช่าบ้าน และยังมีเงินจากส่วนอื่นๆ อีกหลายรายการ เดิมจะเก็บใส่ถุงแยกจากกันเป็นต่างหาก เพื่อไม่ให้สับสน และมั่วกับจำนวนเงิน และจะเขียนไว้หน้ากระเป๋าหรือหน้าซองว่าเป็นเงินมาจากส่วนใด จำนวนเท่าใด แต่ตอนนี้ถูกเจ้าหน้าที่เทมารวมเป็นยอดเดียวใส่ไว้ในกล่องพากลับ จึงเป็นหวงว่าจะทำอย่างไรกับส่วนนั้น ทุกวันนี้อยากได้เงินส่วนนั้น และโฉนดที่ดินกลับมาโดยเร็ว จะได้ส่งมอบคืนให้กับเจ้าของต่อไป เราจะได้ไม่ต้องมากังวลไม่สบายใจ เดี๋ยวจะมีผลต่อสุขภาพ
ในวันนั้นที่เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบภายในบ้าน จนกลายเป็นการยึดเงินสดดังกล่าว เราได้พยายามบอกชี้แจงที่มาของเงิน เรียกเจ้าของเงินมาชี้แจง และขอเงินส่วนนั้นกลับ แต่เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อฟังเราเลย จะยึดให้ได้อย่างเดียว อ้างเพียงสั้นๆ ว่านายสั่งมาให้ยึดเงินสดกลับไป ไม่เห็นใจชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เลย แล้วที่หน้าซอง และกระเป๋ามีระบุที่มาของเงินทำไมไม่อ่าน ทำไมไม่เชื่อใจกันบ้าง