คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
วันนี้มีประเด็น “ร้อน” และจัดว่า “ใหม่” สำหรับสถานการณ์ไฟใต้มาบอกเล่าให้ฟัง อันเป็นสิ่งที่นอกเหนือไปจากเรื่องของความรุนแรงที่เกิดจากฝีมือแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นฯ นั่นเอง
นั่นคือ เรื่องของการ “ทุจริตคอร์รัปชั่น” ที่เวลานี้กลายเป็นเรื่อง “กำปั้นทุบดิน” ไปแล้ว กล่าวคือ ทุบลงไปตรงไหนของแผ่นดินไฟใต้ก็เจอกันตรงนั้น
เรื่องนี้ยืนยันสิ่งที่ผู้เขียนพูดมาตลอดว่า “งบประมาณแผ่นดิน” ที่มากขึ้นและถูกทุ่มเทลงมาเพื่อการ “ดับไฟใต้” นอกจากไม่ได้ทำให้ “ไฟใต้มอดดับ” แล้ว แต่กลับยังเป็นการเพิ่ม “ช่องทางการทุจริต” บนแผ่นดินไฟใต้ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
แม้แต่ในแวดวงความมั่นคง ซึ่งเป็นวงการที่แทบไม่ค่อยมีใครกล้าออกมาเปิดโปง แวดวงความมั่นคงบนแผ่นดินไฟใต้ก็มีเรื่องราวของการทุจริตสะพัดให้ได้ยินไปทั่ว
เรื่องราวที่ว่าคือ “กล้องซีซีทีวี” อันเป็นไปภายใต้ “โครงการโรงเรียนปลอดภัย” หรือ “เซฟตี้สคูล” ถึงขั้นมีส่งหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ไปแล้ว เพื่อให้ตรวจสอบโครงการดังกล่าวนี้
เพราะมีการตรวจพบว่า มีหนึ่ง “พลเอก” และหนึ่ง “พันเอก” ที่พัวพันกับโครงการดังกล่าวนี้
โดยมีทั้งการใช้อำนาจในการ “จัดซื้อจัดจ้าง” และใช้อำนาจในการ “ข่มขู่” เจ้าหน้าฝ่ายการศึกษาในพื้นที่มิให้ยุ่งเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง
จนสุดท้ายเมื่อมีข่าวฉาวและมีการเปิดโปง ผู้ที่รับเคราะห์กรรมอันดับแรกก็ไม่พ้นบรรดา “ผอ.เขตการศึกษา” และโดยเฉพาะ “คณะกรรมการตรวจรับงาน” ที่ตรวจรับสิ่งของที่ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในทีโออาร์
ส่วนหลังการยื่นเรื่องร้องเรียนให้ “ลุงตู่” ตรวจสอบไปแล้วจะลงเอยอย่างไรนั้น เรื่องนี้ยังไม่รู้ผล แต่คนในวงการศึกษาเชื่อว่า คงจะเหมือนกับการ “โยนหินลงทะเล” ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นตามมา หรือแม้แต่การกระเพื่อมของน้ำก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น
นี่ถ้ามีการตรวจสอบหน่วยงานที่เกี่ยวกับความมั่นคง เช่น “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)” ซึ่งเป็น 2 หน่วยงานที่มีงบประมาณผ่านมือเป็นพันล้านถึงหมื่นล้าน ก็ไม่รู้ว่าจะพบความไม่ชอบมาพากลอีกมากมายเท่าไหร่
เพราะมีข่าวแว่วๆ มาว่า แม้แต่ “โครงการตำบลสันติธรรม” ที่ตั้งงบประมาณเพื่อความมั่นคงตำบลละ 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการของ ศอ.บต. ก็มีความ “คาวๆ” ว่าต้องจ่าย “เงินทอน” ให้กับ “เจ้านาย” ตำบลละ 1 แสนบาท เรื่องนี้เท็จจริงอย่างไร คงจะมีการตรวจสอบกันได้ในไม่ช้า
ทว่านี่แค่ “โครงการจิ๊บๆ” ยังมีเงินทอนขนาดนี้ แล้วโครงการมูลค่าสูงถึง 10 ล้านหรือ 100 ล้าน โครงการเหล่านั้นจะต้องจ่ายเงินทอนกันในตัวเลขขนาดไหน
นี่คงจะเข้ากับคำกล่าวขานของคนในพื้นที่ที่ว่า “ใต้สงบ งบไม่มา” แถมยิ่งหากมี “คนเจ็บ” และ “คนตาย” มากเท่าไหร่ จำนวน “คนรวย” จากงบประมาณดับไฟใต้ก็มากขึ้นเท่านั้น
จึงอย่าได้สงสัยว่า ทำไม่เจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับ “นายพล” หรือ “นายพัน” จึงดิ้นรนในการที่ขอ “อยู่ต่อ” ในพื้นที่ ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้สานต่อโครงการเพื่อดับไฟใต้ต่างๆ นั่นเอง
เพราะในพื้นที่ชายแดนใต้แห่งนี้คือ “เหมืองทองคำ” ที่ให้สามารถกอบโกยโกงกินกันได้จนพุงปลิ้นนั่นเอง
เรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจจะยิ่งกว่าเรื่องความรุนแรงในพื้นที่เสียอีก เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นคือการ “บ่อนทำลายประเทศชาติ” ให้ล่มจมได้โดยง่ายนั่นเอง
ดังนั้นจึงต้องตามดูว่าสุดท้ายแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ผู้เคยประกาศลั่นได้ยินกันทั้งบ้านเมืองว่า ต้องการเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศ ถึงเวลานี้จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร
โดยเฉพาะการคอร์รัปชั่นที่อยู่ในแวดวง “สีเขียว” ซึ่งเป็นสีเดียวกันกับท่าน
กลับมาสู่โหมดของ “ความรุนแรง” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และความคืบหน้าของการ “พูดคุยสันติสุข” กันดีกว่า
สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวที่ฮือฮาเป็นอย่างมากจากเรียวปากของ “นายพล” บางนายที่มีการพาดพิงถึง “บางหน่วย” ในพื้นที่และ “คอลัมนิตส์” บางคนว่า ทำตัวเป็นแนวร่วมสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน
ซึ่งก็เป็นข่าวหรือเรื่องราวที่หลายหน่วยงานในพื้นที่ โดยเฉพาะกับคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์บางคนฟังแล้วก็รู้สึกเฉยๆ ครับ
เพราะเชื่อว่าใครก็ตามที่กล่าวเช่นนี้ อาจจะมีข้อมูลคนละแบบหรือคนละชุดกับคนที่ทำงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานนมแล้วสำหรับ “ความจริงคนละชุด” ในเรื่องของปัญหาการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
และเพราะแต่ละหน่วยงานต่างมี “ชุดความจริง” คนละชุดนี้เอง ที่ทำให้การ “ดับไฟใต้” ไม่เคยได้ผลมาโดยตลอด เพราะขาดความชัดเจน ขาดเอกภาพอย่างที่เห็นๆ กัน
และเพราะต่างคนต่างมีความจริงคนละชุดนี่เอง ที่ทำให้เรื่องการตรวจค้น “โรงเรียนบากงวิทยา” ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี จึงกลับกลายเป็นเรื่องบานปลาย กลายเป็น “เงื่อนไข” ของความขัดแย้งระหว่างฝ่ายความมั่นคง กับเครือข่ายโรงเรียนสอนศาสนาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
บานปลายจนถึงขั้นของการทำหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึง พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข ด้วยการยกตัวอย่างของการตรวจค้นโรงเรียนบากงวิทยาของ ฉก.ปัตตานีว่า เป็นเงื่อนไขของการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นยิ่งขึ้นไปอีก
รวมทั้งการยกเอาจำนวนโรงเรียนกว่า 200 โรง มัสยิดกว่า 1,500 แห่ง และไม่ลืมที่จะยกเอา “มวลชน” ที่จะเป็นพลังมหาศาลในการสนับสนุนรัฐบาล เหมือนกับจะบอกเป็น “นัย”ว่า ถ้าเกิดปัญหาขึ้นและมวลชนเหล่านี้จะไม่ให้การสนับสนุนรัฐ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับแผ่นดินปลายด้ามขวานตามมาเล่า
สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากชุดความจริงคนละชุด ที่ชุดหนึ่งมีหลักฐานว่า บีอาร์เอ็นฯ คือผู้ก่อเหตุความไม่สงบ และโรงเรียนเอกชนจำนวนหนึ่งยังเป็น “แหล่งบ่มเพาะ” เพื่อใช้ในการเฟ้นหา “นักปฏิบัติ” และ “นักรบ” และมีการสร้าง “เยาชน” เพื่อเป็น “กองกำลังเด็ก” ที่จะเป็น “หมาก” ตาสำคัญของบีอาร์เอ็นฯ เพื่อเข้าสู่ “เงื่อนไข” ของสหประชาชาติ
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง องค์กรภาคประชาชนที่เป็น “ปีกการเมือง” ของบีอาร์เอ็นฯ ในพื้นที่ก็มีการ “บ่มเพาะ” ในเรื่อง “การกำหนดใจตนเอง” ให้กับคนในพื้นที่ โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา ปัญญาชน เยาวชนและคนกลุ่มอื่นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะออกมา “ขับเคลื่อน” เมื่อสถานการณ์ “สุกงอม”
แต่ความจริงอีกชุดหนึ่งกลับกลายเป็นว่า วันนี้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกิดจากบีอาร์เอ็นฯ แต่เกิดจาก 4-5 ตระกูลใหญ่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่อยู่เบื้องหลังการ “สั่งการ” โดยอาจจะเข้าลักษณะของการ “ว่าจ้าง” ให้คนในพื้นที่ก่อเหตุ และมีการให้น้ำหนักของความรุนแรงที่เกิดขึ้นว่า มาจาก “ภัยแทรกซ้อน” นั่นก็คือ พวกธุรกิจผิดกฎหมาย การค้ายาเสพติด นำมันเถื่อน บ่อนการพนันและอื่นๆ อีกมากมาย
มีการระบุอย่างชัดเจนจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ว่า องค์กรภาคเอกชนกว่า 30 องค์กรคือองค์กร “ลวงโลก” ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อ “บิดเบือน” ข้อเท็จจริง ถือเป็นองค์กรที่ “เติมเชื้อไฟ” แห่งความขัดแย้งให้เกิดขึ้น
และยังมีชุดความจริงอีกหลายชุดที่ต่างคน ต่างหน่วย ต่างมีและต่างเชื่อ จนกลายเป็นว่า 14 ปีของไฟใต้ระลอกใหม่ที่ผ่านมา นั่นเป็นความสูญเปล่าของการดับไฟใต้ เป็นการสูญเปล่าของงบประมาณ สูญเปล่าของ ชีวิตเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร เพราะความ “เห็นต่าง” และ “เห็นแย้ง” กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ที่นี่จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรงกลาโหมจะมี “ความกล้า” และไม่กลัวการ “ข่มขู่” จนสั่งการให้กระบวนการตรวจสอบ ตรวจค้น หรือการหา “รังโจร” ที่แอบแฝงในสถานศึกษาต้องหยุดชะงักอีกครั้ง
การตรวจค้น “รังโจร” ที่แอบแฝงในศาสนสถาน ในโรงเรียนสอนศาสนา และในสถานที่อื่นๆ คือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะนั่นจะเป็นการทำลายแหล่งบ่มเพาะ เพื่อไม่ให้มีการนำคนเข้าสู่ขบวนการ นั่นย่อมเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องยิ่งกว่าการ “พาคนกลับบ้าน” อย่างแน่นอน