xs
xsm
sm
md
lg

ใครอยากให้ประชาสังคมและสื่อร่วมกัน “รื้อพรม” ชม “สิ่งปฏิกูล” บนแผ่นดินไฟใต้..ชูมือขึ้น?! / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก

  
  
 
ใครจะมองสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในแง่ดีอย่างไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับผู้เขียนมองว่า ณ วันนี้สถานการณ์ยังคงความรุนแรง และนอกจากความรุนแรงแล้ว 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย ยังถูกทำให้หวนกลับไปสู่สภาวะเดิมๆ ในหลายประเด็น นั่นคือ
 
มายมายไปทั้ง “ความแตกแยก” และมีการ “สร้างเงื่อนไขใหม่ๆ” เพิ่มเข้ามาด้วย


จนเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในพื้นที่นอกจากจะมีความขัดแย้งแล้ว ยังมี “ความย้อนแย้ง” ระหว่างฝ่ายความมั่นคงกับกลุ่มคนในพื้นที่ ทั้งจากกลุ่มภาคประชาสังคม กลุ่มสื่อมวลชน กลุ่มคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “ตระกูลใหญ่” และล่าสุดคือ “กลุ่มโรงเรียนสอนศาสนา” จากกรณีการเข้าตรวจค้น จับกุมและกล่าวหา “โรงเรียนบากงวิทยา” ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
 
วันนี้บรรยากาศในพื้นที่จึงอยู่ในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยกับการ “พูดคุยสันติสุข” แม่แต่น้อย
 
ในขณะที่โดยข้อเท็จจริงเวลานี้เป็นห้วงเวลาของการ “ขับเคลื่อน” กระบวนการพูดคุยสันติสุขในเบื้องต้น โดยอยู่ในขั้นตอนของการตั้งสำนักงานร่วมหรือ “เซฟเฮาส์” ระหว่าง “ปาร์ตี้เอ” คือ ฝ่ายไทย กับ “ปาร์ตี้บี” คือ ฝ่ายมาราปาตานี และ “ปาร์ตี้ซี” คือ ตัวแทนจากภาคประชาชน
 
มีกำหนดการว่าในเดือน เม.ย.นี้จะมีการกำหนด “เซฟตี้โซน” หรือ “พื้นที่ปลอดภัย” ร่วมกันระหว่างปาร์ตี้เอกับปาร์ตี้บีว่า จะเอาพื้นที่อำเภอไหนของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการทดสอบกระบวนการพูดคุยสันติสุขอย่างเต็มรูปแบบ
 
แต่เป็นการขับเคลื่อนกระบวนการพูดคุยสันติสุขที่เต็มไปด้วย “เงื่อนไข” และ “ความย้อนแย้ง” เป็นบรรยากาศแห่ง “ความอึมครึม” ของกลุ่มคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งนั่นก็เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมในพื้นที่
 
โดยเฉพาะกรณีการเข้าตรวจค้น จับกุม รวมถึงยึดได้เอกสารและสิ่งของมากมายในโรงเรียนบากงวิทยา จนนำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดีกับโรงเรียนในหลายข้อหา ทั้งเรื่องการเป็นสถานที่ “บ่มเพาะเยาวชน” เข้าสู่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน การ “ทุจริตเงินอุดหนุน” เพื่อแปรสภาพเม็ดเงินไปสนับสนุนการก่อการร้าย และอีกหลายข้อกล่าวหาที่ถือว่า “ร้ายแรง” จนสามารถที่จะ “สั่งปิด” โรงเรียนแห่งนี้ได้
 
ถ้าหลักฐานทุกอย่างที่หน่วยงานความมั่นคงแถลงเป็นเรื่องจริง ในทางปฏิบัติจะต้องไม่แค่ดำเนินคดีกับ ผู้เกี่ยวข้องกับการดำเนินการโรงเรียนแห่งนี้แล้วทุกอย่างก็จบ เพราะนั่นเป็นเพียงเรื่องของ “ยุทธวิธี” ของการ สร้างผลงานของหน่วยงานในพื้นที่เท่านั้น
 
แต่ในทาง “ยุทธศาสตร์” หน่วยงานความมั่นคง รวมถึงหน่วยงานทางด้านการศึกษาต้อง “ขจัดความชั่วร้าย” ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย เพราะได้เข้าไปใช้โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาเป็นสถานที่บ่มเพาะความคิดในการเป็น “ปรปักษ์” กับ “รัฐไทย”
 
เนื่องเพราะเป็นเรื่องต้องให้ความสำคัญยิ่งว่า เมื่อเกิดขึ้นกับโรงเรียนแห่งหนึ่งได้ แล้วทำไมจะไม่เกิดขึ้นกับโรงเรียนแห่งอื่นๆ ที่มีอยู่นับร้อยนับพันโรงในพื้นที่
 
แล้วใครที่เคยปฏิเสธเรื่อง “กองกำลังเด็ก” หรือ “ทหารเด็ก” หรือที่เรียกกันเพื่อหลีกเลี่ยงของเท็จจริงของคำว่า “เด็ก” ด้วยการเปลี่ยนเป็นใช้คำเรียกเสียใหม่ว่า “กองกำลังเยาวชน” ซึ่งนั่นก็เป็นนโยบายหลักของขบวนการ “บีอาร์เอ็นฯ” ที่ต้องการทำให้เกิดขึ้นได้จริง โดยการ “แฝงตัว” เข้าไปบ่มเพาะนักเรียนและนักศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอย่างได้ผล
 
เรื่องทหารเด็กหรือกองกำลังเยาวชน ซึ่งบีอาร์เอ็นฯ ต้องการสร้างเป็นเงื่อนไขเข้าสู่การพิจารณาของ “สหประชาชาติ” เพื่อให้นำไปสู่การ “แบ่งแยกดินแดน” ได้ในที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องของ “ความฝัน” แต่จะกลายเป็น “เรื่องจริง” ได้แน่นอน
 
ถ้าหน่วยงานความมั่นคงยัง “มีเพียงยุทธการ” แต่ “ไม่มียุทธศาสตร์” ที่จะใช้จัดการกับโรงเรียนเอกชนที่ถูกบีอาร์เอ็นฯ ส่งคนเข้าไปแฝงตัวเข้าไปใช้เป็นที่บ่มเพาะเพื่อสร้างกองกำลังไว้แล้ว


วันนี้โรงเรียนบากงวิทยาได้ออกมาตอบโต้หน่วยงานความมั่นคงอย่างเต็มรูปแบบ หลักจากที่ตั้งหลักได้แล้ว ซึ่งสิ่งที่ผู้บริหารโรงเรียนได้แถลงกับสาธารณะไว้คือ การขอความเป็นธรรม และปฏิเสธว่าเรื่องที่ถูกกล่าวหาเป็นเรื่องไม่จริง ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานสมาคมฯ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนเอกชนจะต้องออกมาเคลื่อนไหว เพื่อท้วงติงในเรื่องการดำเนินคดีกับโรงเรียนบางกงวิทยาแห่งนี้แน่นอน
 
เนื่องเพราะผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินอุดหนุนก็ดี หรือในเรื่องอื่นๆ อีกมากมายก็ดี ล้วนเป็นผลประโยชน์ที่โรงเรียนเอกชนเหล่านี้ต้องรักษาไว้ให้มีอยู่ต่อไปด้วยชีวิต


ดังนั้น ถ้าหน่วยงานความมั่นคงตั้งรับไม่ดี และหลักฐานที่ใช้ในการดำเนินคดีกับโรงเรียนดังกล่าวมีไม่เพียงพอกับการเอาผิดได้ นั่นก็จะกลายเป็นว่าหน่วยงานความมั่นคงไป “ใส่ร้าย” ผู้บริหารโรงเรียนสอนศาสนา เพราะขณะนี้ที่ยังไม่รู้ว่าใครผิด ใครถูก
 
แต่สังคมของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ก็เชื่อแล้วว่า โรงเรียนบากงวิทยาเป็น “แพะ”
 
ส่วนในกรณีที่หน่วยงานความมั่นคงออกมาโต้ตอบ “ภาคประชาสังคม” หรือ “เอ็นจีโอ” รวมถึง “สื่อมวลชน” ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ โดยใช้ถ้อยคำรุนแรงทำนองว่าเป็น “กลุ่มลวงโลก” นั้น
 
ในท่ามกลางความ “กร้าวร้าว” ก็ยังเห็น “ความดี” อยู่ด้วย นั่นคือ ต่อไปนี้เมื่อหน่วยงานความมั่นคงมีแนวทางในการตอบโต้แบบทุกเม็ด ทุกดอก ต่อกลุ่มคนหรือองค์กรที่ “เห็นต่าง” โดยเฉพาะในเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” และ “สิทธิเสรีภาพ”
 
สังคมไทยก็จะได้เห็นการ “ประดาบ” กันแบบซึ่งๆ หน้าเสียที
 
ถ้าหน่วยงานความมั่นคงมีหลักฐานว่า องค์กรไหนเป็นองค์กรที่รับใช้ใคร หรือมีบีอาร์เอ็นฯ อยู่เบื้องหลัง หรือมีแนวทางในการแบ่งแยกดินแดน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่จริงก็ควรจะบอกให้สังคมไทยได้รับรู้ไว้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เป็นการยืนยันว่า เป็นองค์กรหรือกลุ่มคนที่ “ลวงโลก” อย่างที่กล่าวหาเขาให้เป็น “จำเลย” ของสังคมไว้นั่นเอง
 
เมื่อหน่วยงานความมั่นคงตัดสินใจแล้วว่า จะใช้กระบวนการทาง “กฎหมาย” เพื่อจัดการกับ “กลุ่มคน” และ “สื่อ” ที่เห็นต่าง นั่นก็เป็นการดีที่ทุกฝ่ายจะได้ระมัดระวังตัวในการทำหน้าที่ และที่สำคัญจะได้มีการ “แยกมิตร แยกศัตรู” กันอย่างชัดเจน
 
เมื่อไม่สามารถแปร “ศาสตราวุธ” ให้เป็น “แพรพรรณ” ไม่ได้ ในอีกไม่นานก็จะต้องถึงบทบาทของการ “เปิดโปง” ซึ่งกันและกันอย่างเต็มที่แน่นอน
 
เพราะใน “ซอกหลืบ” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ “แสงไฟส่องไม่ถึง” ยังมีอยู่ แถมยังมากมายไปด้วย “ความชั่วร้าย” ที่รอการ “ขุดคุ้ย” ขึ้นมาตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้
 
ขนาดสื่อนั่งอยู่เฉยๆ ยังมีข่าว “โกงเบี้ยเลี้ยงตำรวจตระเวนชายแดน” ผุดพราวขึ้นมาให้ต้องแสวงหาข้อเท็จจริง และอาจจะต่อด้วยเรื่องของ “บัญชีผีกำลังพล” ที่ส่งเข้าไปในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นก็ไม่ต่างกับ “บัญชีผีโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา” รวมทั้งการฉ้อราษฎร์บังหลวงในรูปแบบต่างๆ อีกมากมายก่ายกอง
หากองค์กรภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนได้ช่วยทำหน้าที่อย่างแท้จริง หรือให้ได้สักครึ่งหนึ่งของความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเพียงแค่คลี่พรมเปิดขึ้นสักเล็กน้อย สังคมไทยก็คงได้เห็น “สิ่งปฏิกูล” ถูกซุกซ่อนในพรมเต็มไปหมด
 
โดยแทบจะทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และการทุจริต ซึ่งส่วนหนึ่งอาศัย “การจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ” ในการสร้างช่องทาของการหา “เงินทอน” จากโครงการต่างๆ
 
ถ้าหากองค์กรภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนร่วมใจกัน “รื้อพรม” ออกเมื่อไหร่ สังคมไทยคงจะได้เห็นเรื่องราวความเป็นจริงว่า ใครกันที่ “ค้าสงคราม” และใครที่ “ค้ากำไร” บนความหายนะของประชาชนและแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้
 


กำลังโหลดความคิดเห็น