ยะลา - รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 แถลงกรณีความคืบหน้าคดีความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนใต้ หลังศาลตัดสินจำคุก 33 ปี ชดใช้สินไหม 2.5 ล้านบาท ผู้ร่วมก่อเหตุวางระเบิดทหารพราน ขณะดูแลรักษาความปลอดภัยคณะกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงกลาโหม เมื่อปี 2558
วันนี้ (8 มี.ค.) ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พ.อ.ธนาวีร์ สุวรรณรัตน์ รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แถลงข่าวชี้แจงกรณีความคืบหน้าคดีความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายหลังศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาตัดสินจำคุก นายมาหาดี มะลี จากกรณีเหตุการณ์คนร้ายได้ลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 43 ขณะทำการรักษาความปลอดภัยขบวนรถคณะกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงกลาโหม (วท.กห.) เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2558 เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานได้รับบาดเจ็บ จำนวน 6 นาย เหตุเกิดบริเวณถนนสาย 418 ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา และต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ทำการติดตามจับกุม นายมาหาดี มะลี มาดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยทางเจ้าหน้าที่สามารถตรวจพิสูจน์ด้านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ DNA ที่ได้จากวิทยุสื่อสารเป็นตัวจุดชนวนระเบิด และตรงกับ DNA ของ นายมาหาดี มะลี และสามารถติดตามจับกุมตัวได้ในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2559 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิพากษาให้จำคุก นายมาหาดี มะลี เป็นเวลา 37 ปี 36 เดือน และให้ชำระค่าสินไหมทดแทน 2,500,000 บาท (สองล้านห้าแสนบาท) และจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อมา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2561 ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.32/59 คดีหมายเลขแดงที่ อ.2496 /59 โดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายมาหาดี มะลี จำเลย ในความผิดเกี่ยวกับก่อการร้าย อั้งยี่ พ.ร.บ.อาวุธปืน และวัตถุระเบิด พยายามฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยพิจารณาลงโทษจำคุก นายมาหาดี มะลี เป็นเวลา 33 ปี 20 เดือน และให้ชำระค่าสินไหมทดแทน 2,500,000 บาท (สองล้านห้าแสนบาท)
นอกจากนี้ พ.อ.ธนาวีร์ สุวรรณรัตน์ ขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่าได้หลงเชื่อกลุ่มแอบอ้าง หรือกลุ่มที่พยายามบิดเบือนข้อมูลใส่ร้ายการทำงานของเจ้าหน้าที่ โดยทางเจ้าหน้าที่มีกระบวนการทำงานตามขั้นตอน และยึดมั่นในหลักของกฎหมาย พร้อมกับหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างชัดเจน จึงมีกลุ่มที่ไม่หวังดีพยายามแอบอ้างให้ข้อมูลที่เป็นความเท็จในสื่อออนไลน์ต่างๆ จึงขอให้พี่น้องประชาชนใช้ความคิดพิจารณาไตร่ตรองข้อมูลก่อนที่จะหลงเชื่อจนเกิดความเข้าใจผิด