ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ภาคเอกชนฝั่งอันดามันทั้งภูเก็ต พังงา กระบี่ เปิดเวทีถกปัญหาท่องเที่ยว ร่วมกับ รมว.การท่องเที่ยว เสนอถึงนายกรัฐมนตรีแก้ไข เพื่อพัฒนาสู่ความยั่งยืน ภูเก็ตขอปกครองรูปแบบพิเศษ เลือกตั้งผู้ว่าฯ หรือเศรษฐกิจพิเศษเพื่อการท่องเที่ยว หวังดึงงบประมาณลงพื้นที่ให้สอดคล้องต่อการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว และพัฒนาของเมือง ด้านรัฐมนตรีการท่องเที่ยวเสนอให้ทำแผนพัฒนาท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ในลักษณะของ “Sand Box” น่าจะเป็นทางออกดีในขณะนี้
วันนี้ (22 ก.พ.) นายวีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมหารือภาคเอกชน จ.ภูเก็ต และอันดามัน เรื่องเสนอปัญหาอุปสรรคและการแก้ไขเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมี นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พ.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นายสุรชัย ชัยวัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต นางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย อดีตประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา และอดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดภูเก็ต นายเรวัต อารีรอบ อดีต ส.ส.ภูเก็ต นายกฤษฎา ตันสกุล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ นายประมุขพิสิฐ อัจฉริยะฉาย ประธานโรงแรมในเครือกะตะกรุ๊ป นายสรายุทธ์ มัลลัม ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน ภูเก็ต กระบี่ และพังงา เข้าร่วม ณ โรงแรมบียอน กะตะ รีสอร์ต
ทั้งนี้ เพื่อรับทราบนโยบายด้านการท่องเที่ยวจากรัฐมนตรีว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมไปถึงให้ภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ได้นำเสนอปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว นำเสนอต่อรัฐมนตรี และเสนอต่อไปยังนายกรัฐมนตรี ในการแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวของฝั่งอันดามันสู่ความยั่งยืน
ก่อนการประชุม นายเรวัต อารีรอบ อดีต ส.ส.ภูเก็ต ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านทาง นายวีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อให้ผลักดันให้ภูเก็ตปกครองในรูปแบบพิเศษ โดยการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ว่าฯ มาจากการคัดสรร จะทำให้การพัฒนาและการแก้ปัญหาต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าในปัจจุบัน รวมไปถึงภูเก็ตสามารถที่จะวางแผนการพัฒนา และวางแผนการจัดเก็บและการใช้งบประมาณที่สอดคล้องต่อสภาพของเมือง และสภาพปัญหาได้ดีกว่า
โดยเห็นว่า ภูเก็ตมีการเติบโตทางการท่องเที่ยวแบบก้าวกระโดด งบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรลงมาพัฒนาภูเก็ตนั้นไม่เพียงพอในการพัฒนารองรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นทุกๆ ปี การให้ภูเก็ตปกครองรูปแบบพิเศษในลักษณะเดียวกับเมืองพัทยา หรือกรุงเทพมหานครนั้นจะช่วยให้การจัดสรรงบประมาณมาพัฒนาภูเก็ตได้ดีกว่าปัจจุบัน
ขณะที่ นางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย อดีตประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา และอดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดภูเก็ต ได้นำเสนอให้ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ทราบว่า ปัจจุบัน การท่องเที่ยวของภูเก็ตมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก โครงสร้างพื้นฐานที่ภูเก็ตมีอยู่ในขณะนี้ไม่เพียงพอ สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย การแก้ปัญหาเป็นอย่างล่าช้าไม่ทันกับจำนวนนักท่องเที่ยว จึงทำให้ภูเก็ตมีปัญหาสะสมจากการเติบโตด้านการท่องเที่ยวในหลายๆมิติ
ทั้งๆ ที่ภูเก็ต และอันดามันสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้ปีละมหาศาล แต่กลับไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลเท่าที่ควร การจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอต่อการเติบโตของเมือง เพราะรัฐบบาลไม่ได้มองว่าภูเก็ตทำเงินได้จำนวนมากจะต้องจัดสรรงบประมาณให้เป็นเงาตามตัว แต่กลับจัดสรรงบประมาณแบบปกติที่ใช้เหมือนกันทุกจังหวัด ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่ภูเก็ตน่าที่จะได้รับการยกเป็นเมืองพิเศษที่แตกต่างจากจังหวัดอื่นๆ เพื่อพัฒนาให้ทันต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่ทะลุ 16 ล้านคนในขณะนี้
“จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากถึง 16 ล้านคนต่อปี เชื่อว่าหลายฝ่ายคงช็อกกับตัวเลขนี้ เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกที่ภูเก็ตมีอยู่ในขณะนี้ไม่พร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยวมากมายขนาดนี้ สิ่งแวดล้อมต่างๆ ก็ได้ผลกระทบทั้งหมด” นายธันยรัศม์ กล่าว
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องยกให้เป็นภูเก็ตเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเรื่องนี้เคยมีการนำเสนอต่อรัฐบาลมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้รับการพิจารณา และผลักดันต่อ โดยให้ภูเก็ตเป็นโมเดลในการที่ใช้หลักพื้นที่ไหนทำรายได้ให้รัฐบาลสูงก็จะต้องจัดสรรงบประมาณลงมาพัฒนาพื้นที่สูงตามรายได้ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สอดคล้อง และสอดรับต่อสภาพพื้นที่นั้นๆ หากดูจากตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยว และรายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวในภูเก็ต และอันดามันคิดว่าพร้อมที่จะเป็นเขตเศรษฐกิจเพื่อการท่องเที่ยว เพราะขณะนี้ภูเก็ต และอันดามันเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกไปแล้ว
ด้าน นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ภูเก็ตโตแบบก้าวกระโดด และขาดการวางแผน ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ทั้งในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง สิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำของรายได้ที่กระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่ม ไม่ได้กระจายสู่ชุมชน และประชาชนอย่างทั่วถึง ทำให้เกิดปัญหาด้านสังคมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มจังหวัดเล็ก ดังนั้น การจัดสรรงบประมาณ และบุคลากรจึงได้รับตามสภาพของพื้นที่ และประชากร จึงทำให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอต่อสภาพความเป็นจริงของเมือง ดังนั้น โดยรวมคิดว่าการรนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นใช้ในการบริหารและพัฒนาเมืองสิ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนในภูเก็ต พังงา และกระบี่ ได้นำเสนอปัญหาเพื่อให้ทางรัฐมนตรีนำไปสู่การแก้ไขในหลายส่วนด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ปัญหาการคมนาคม ปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดจากรถบัสรับส่งนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยเสนอให้มีการลดภาษีนำเข้ารถโค้ช ปัญหานักท่องเที่ยวที่เข้ามามากโดยเฉพาะกลุ่มจากจีน ในขณะนี้กลุ่มอื่นเข้ามาน้อยจากการจัดสล็อตให้สายการบินลงที่ภูเก็ต ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ ปัญหาการเซ็งวัดหลอกนักท่องเที่ยวจีนไปเช่าพระและเครื่องรางในราคาแพงๆ เกินจริงหลายเท่าตัว ปัญหาน้ำท่วม ปัญหามัคคุเทศก์ ปัญหาด้านความปลอดภัย ปัญหานักท่องเที่ยวจีนล้นเกาะสิมิลัน โดยเสนอให้กรมอุทยานเพิ่มค่าธรรมเนียมให้สูงขึ้น เป็นต้น
นายวีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า จากการหารือร่วมกับภาคเอกชนในฝั่งอันดามัน ทั้ง ภูเก็ต พังงา และกระบี่ ทุกจังหวัด ต้องการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ปริมาณที่เข้ามาตอนนี้เกินกว่าความสามารถในการจัดการ และรองรับต่อระบบสาธารณูปโภคที่มีอยู่ จากหลายๆ ปัญหา เช่น ปัญหาการจัดสล็อตเที่ยวบินจากต่างประเทศมาลงที่ภูเก็ตจำนวนมาก โดยไม่ถามถึงความพร้อมของพื้นที่ ทำให้เกิดปัญหาที่แก้ยังไงก็แก้ไม่หมด เป็นต้น
นายวีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหา และการพัมนาการท่องเที่ยวของภูเก็ตสู่ความยังยืนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าจะต้องให้ภูเก็ตเป็นอะไรที่พิเศษกว่าพื้นที่อื่นๆ เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก สิ่งที่ภูเก็ต และอันดามันสามารถทำได้เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา คือ การทำแผนพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เป็นแผนที่เกิดจากความต้องการของคนภูเก็ต เพราะคนภูเก็ตเท่านั้นที่รู้ว่าภูเก็ตต้องการอะไร และเป็นแผนที่พัฒนาโดยคนภูเก็ต ในลักษณะเหมือนกับโครงการที่ ครม.เห็นชอบให้จังหวัดขอนแก่น น่าน และพระนครศรีอยุธยา จัดทำระบบ Sand Box
โดยกำหนดพื้นที่ และจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่เสนอไปยังรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลสนับสนุน ลดหย่อนกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งการจัดทำในลักษณะของ Sand Box น่าที่จะมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะทำในรูปแบบการปกครองพิเศษ หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อการท่องเที่ยว และทำให้กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกๆ ฝ่ายอย่างต่อเนื่อง