โดย... ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที
“พี่หลวงหมี”
ผมเรียกท่านว่าอย่างนั้น ไม่เคยพบท่านเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย ท่านเองเป็นนักศึกษา เป็นนักกิจกรรมอยู่ในรั้ว ท่าพระจันทร์-โดมทักษิณ
ท่านเป็น นักการเมือง ท่านเป็น นักสู้ เมื่อครั้งเป็นฆราวาส
ทราบจาก พี่ยวด-นายกสมาคมธรรมศาสตร์ จ.นครศรีธรรมราช พี่สาวที่แสนดีว่า พี่หลวงหมีเดินทางจากรัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย
โดยการเดินตามรอย “หลวงพ่อทวด”
พี่หลวงหมี เดิน และ เดิน เป็นแรมเดือน
พวกเราติดตามความเคลื่อนไหวของพี่หลวงหมีในห้องไลน์ของ ชมรมโดมทักษิณ
สัญญากับใจตัวเองว่า หากพี่หลวงหมีเข้าเขตพื้นที่เมืองหลวง ผมตั้งใจอยากจะไปกราบพี่หลวงสักครั้ง
แล้วจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561 ช่วงบ่ายสาม ทราบมาว่า ท่านมาถึงพุทธมณฑล และจำวัดอยู่ในพื้นที่นั้นแบบเงียบๆ ด้วยเวลาพบท่านประมาณไม่ถึงชั่วโมง สนทนากันหลายเรื่อง
ท่านเล่าเรื่องเส้นทางของ “หลวงพ่อทวด” ซึ่งมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของสยาม และหลักฐาน อาทิ แก่นไม้ หม้อน้ำเหลืองสังขารของหลวงพ่อทวด หลักฐานแก่นไม้โบราณที่ปักหมุดที่พักของสังขารหลวงพ่อทวด
เห็นหลักฐานความมหัศจรรย์ของหมู่บ้านชาวพุทธและอิสลาม ที่ไม่แตะต้องทำลายแก่นไม้ สถานที่หม้อน้ำเหลืองย้อย ซึ่งยังอยู่ครบในรัฐเปรัค
แต่ในฝั่งไทย พวกนิยมพระเครื่องคงนำแก่นไม้ไปปดทำพระผง พระเครื่องกันหมดแล้ว ผมสันนิษฐานแบบนี้
ค่ำคืนใดที่เคลื่อนย้ายสังขาร น้ำเหลืองของพระอรหันต์จะไม่ให้ตกถึงพื้น สถานที่นั้นๆ ยังคงอยู่ไม่ต่ำกว่า 300 ปีผ่านมาแล้วของรัฐสยาม
เกือบชั่วโมงที่อยู่ใกล้พี่หลวงหมี เมตตาที่พี่หลวงสนทนาธรรมช่างไวแสนไว ทำไมพระอาทิตย์เดินไวจัง ฟ้าเริ่มมืดค่ำ
เรื่องราวการจาริก เดินเท้าเปล่าข้ามประเทศของพระสงฆ์ของท่านยิ่งใหญ่มากในการรับรู้ของผม
เรื่องราวของความรู้จิตของพระกรรมฐาน เส้นทางสายนี้หากไม่มีลูกเล็กๆ คอยที่บ้าน ด้วยการสนทนากับพี่หลวงหมีเพลินจนไม่อยากย้อนกลับเข้าเมืองหลวงเลย
ช่วงบ่ายของวันพฤหัสฯ ที่ 25 มกราคม 2561 ผมได้รับข้อความจากหลวงพี่หมี หรือพระสุธรรมว่า เราเดินธุดงค์ตามรอยหลวงปู่ทวด จากไทรบุรีถึงกรุงศรีอยุธยา ถึงเป้าหมาย รวมระยะเดิน 1,424 กิโลเมตรแล้ว
เมื่อเช้าได้กราบสักการะหลวงปู่ทวด ณ กุฏิที่ท่านเคยจำพรรษาที่วัดแค ราชานุวาส อยุธยา
หลวงพี่หมีเล่าให้ผมฟังว่า ค่ำคืนนั้นขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 จำวัดที่วัดแคราชานุวาส อยุธยา
ค่ำคืนนั้นนั่งมองกุฏิของหลวงพ่อทวดเมื่อครั้งท่านเข้ามาทำธุระในกรุงศรีอยุธยา ลมแม่น้ำพัดเย็นสบาย ตั้งจิตระลึกถึงหลวงพ่อทวดครั้งท่านอยู่กรุงศรี
กุฏิเดิมยังเหลือร่องรอยเพียงกองอิฐของกุฏิเก่า ที่ชาวบ้านอนุรักษ์เอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อบ่งบอกว่า สมัยพระเอกาทศรถ (พ.ศ.2148-2153) หลวงพ่อทวดครั้งยังเป็นพระหนุ่มแน่น ได้เดินทางจากสงขลา เข้ามายังเมืองหลวงคือ กรุงศรีอยุธยา
มิได้เป็นเรื่องเพ้อฝันหรือเกินจริง
หลวงพี่หมีใช้เวลาเดินทางจากรัฐเปรัค เข้าไปยังรอยต่อของรัฐเคดาห์(ไทรบุรี) เมื่อครั้งแผ่นดินบริเวณนั้นยังเป็นของไทย
เดิน เดิน และ เดิน ค่ำไหนก็จำวัดหรือหาที่พักของสงฆ์ตามสมควรที่สมณะจะพักได้
ทั้งหมดทั้งสิ้น จากต้นที่รัฐเปรัคทางถึงอยุธยา รวมทั้งสิ้น 33 วัน 1,424 กิโลเมตร ถือเป็นการจาริกที่มีความหมายเพลิดเพลินในธรรมที่มุ่งมั่น
พี่หลวงหมีบอกผมว่า หลังจากนี้ก็เริ่ม เดินธุดงค์ตามรอยพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพ จากกรุงศรีอยุธยา ไปเมืองแหง หรือปัจจุบันเป็น อ.เวียงแหงของ จ.เชียงใหม่
ออกเดินแล้ว วันแรกมาถึงวัดป่าโมก จ.อ่างทองแล้ว ต่อจากนั้นออกเดินมุ่งหน้าไปพัก จ.สิงห์บุรี
ผมเองขอรูปถ่ายหลักฐาน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพ “แก่นไม้” ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขตป่าของประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของรัฐไทรบุรี อยู่บริเวณด้านเหนือของเกาะปีนัง
เพื่อนำมาให้ได้ชมภาพกันถึงหลักฐานร่องรอยที่สังขารหลวงพ่อทวดดับขันธ์ในประเทศมาเลเซียเมื่อ 300 ปีผ่านมาแล้ว ตอนนั้นยังเป็นของรัฐสยามที่มีอยุธยาเป็นราชธานี
หลวงพี่หมีเล่าว่า หลวงพ่อทวดจำพรรษาที่อยุธยาได้ไม่นาน ประมาณ 4-5 พรรษาก็เดินทางกลับไปสงขลาพื้นที่ภาคใต้
แต่ตอนที่ญาติโยมคนไทยที่ไทรบุรีนิมนต์ท่านไปจำพรรษา น่าจะอยู่ในช่วงที่ท่านชราภาพมากแล้ว
และท่านสั่งไว้ว่า หากท่านสิ้นลมเมื่อไหร่ ให้นำร่างสังขารกลับมายังฝั่งไทย
การจาริกติดตามหลวงพ่อทวด หลวงพี่หมีจึงได้นำหลักฐานแก่นไม้ จุดที่หม้อรองน้ำเหลืองสังขารของหลวงพ่อทวดมาให้ได้ศึกษาค้นคว้ากัน