คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
สมัยเรียนวิชากฎหมายที่สำนักวิชา มสธ. อาจารย์ประจำวิชากฎหมายทุกรายวิชามักจะไม่ออกข้อสอบเพื่อทดสอบความรู้ ความจำ และความเข้าใจเกี่ยวกับแม่บทของมาตรานั้นๆ แต่อาจารย์มักจะเลี่ยงไปออกข้อยกเว้นของมาตรานั้นๆ แทน ทั้งข้อสอบปรนัยและข้อสอบอัตนัย เพราะอาจารย์แต่ละท่านเชื่อว่า แม่บทของกฎหมายมาตรานั้นๆ ทุกคนที่เรียนกฎหมายย่อมแม่นในสาระสำคัญอยู่แล้ว
แต่ข้อยกเว้นคือจุดสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินคดีความ ไม่ว่าในฐานะพนักงานสอบสวน อัยการ ทนายความ หรือผู้พิพากษา โดยเฉพาะทนายความและพนักงานสอบสวน
เมื่อพูดถึงกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย และการยังคับใช้กฎหมาย เป็นปัจจัยสำคัญในการอำนวยความยุติธรรม เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมายล้วนเพื่อสร้างความสงบสุขในสังคม ปกป้องผู้บริสุทธิ์หรือสุจริตชนจากการเบียดเบียนของมิจฉาชีพหรือคนชั่ว การตีความกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย จึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานและเจตนาเพื่อสร้างความสงบสุขและความเป็นธรรมในสังคมเป็นสำคัญ
ความผิดพลาดบกพร่อง หรือจุดด่างพร้อยของกระบวนการยุติธรรมทั่วโลก มาจากความไม่เที่ยงธรรม ไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาคของการบังคับใช้กฎหมาย เกิดความลำเอียง บิดเบือนข้อเท็จจริงและเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยใช้ความได้เปรียบในฐานะผู้ถือกฎหมาย รู้กฎหมาย(ข้อยกเว้น) มารังแกคนที่ด้อยโอกาสกว่า
ในสังคมไทย มีคำกล่าวแบบติดลบต่อกระบวนการยุติธรรมว่า “กินขี้หมาดีกว่าค้าความ” หมายถึงยอมผะอืดผะอมกับการกินขี้หมา ดีกว่ามีคดีความกับใคร เพราะรังแต่จะเสียหายทั้งทรัพย์สิน เวลา และความสัมพันธ์อันดีจิปาถะ
คนใต้ยุคก่อนมีคำกล่าวติดหูติดปากว่า “นายรักเหมือนเสือกอด หนีนายรอดเหมือนเสือหา” คือมองว่า “นาย” หรือคนที่มีอำนาจทางกฎหมายหรือถือกฎหมาย เป็นคนอันตรายทั้งอยู่ใกล้ชิดหรืออยู่ห่างๆ
ความจริงสังคมมนุษย์มีกฎอย่างอื่นมาก่อนที่จะมีกฎหมายในการดำเนินชีวิต กฎแรกๆ ก็คือ “กฎธรรมชาติ” เกิด แก่ เจ็บ ตาย การสืบพันธุ์ การขับถ่าย ฯลฯ และ “กฎศีลธรรมทางศาสนา” โดยเฉพาะ “กฎแห่งกรรม”
ในอดีตยุคที่มนุษย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าทางวิทาศาสตร์และเทคโนโลยีมากมายเช่นในปัจจุบัน กฎธรรมชาติและกฎศีลธรรมสามารถจะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ให้อยู่ในร่องในรอยได้ โดยไม่เกิดความเดือดร้อนเสียหายมากมายนัก
แต่ครั้นโลกเจริญก้าวหน้า และปัญหาสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น กฎธรรมชาติและกฎแห่งศีลธรรมไม่เพียงพอที่จะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ จึงกำเนิดกฎหมายที่มีพื้นฐานอยู่บนกฎธรรมชาติและกฎแห่งศีลธรรม แต่มีบทลงโทษที่ชัดเจนและรุนแรงกว่าถึงขั้นประหารชีวิต
นักคิด นักปรัชญาทางกฎหมายของโลกหลายท่าน ได้เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายไว้อย่างน่าสนใจ ควรที่ผู้ใช้กฎหมายพึงตระหนักไว้ เช่น
“ศีลธรรมจรรยาของประชาชนคือ กฎหมายสูงสุด” เป็นแนวความคิดเชิงประชาธิปไตยของปวงชนว่า ศีลธรรมและจรรยาบรรณของประชาชนนั่นแหละคือ กฎหมายสูงสุด หรือสำคัญกว่ากฎหมายอื่นใด แม้แต่รัฐธรรมนูญ
“วัตถุประสงค์สำคัญ ๒ ประการของกฎหมายคือ ๑) ยุติธรรม ๒) บริหารอย่างเป็นธรรม” แต่เวลานำไปสู่การปฏิบัติ เรามักเห็นผลในทางตรงกันข้ามเสมอ โดยเฉพาะเมื่อคู่กรณีคือคนใช้อำนาจรัฐกับประชาชนธรรมดาสามัญ
“เมื่อกฎหมายใดมีข้อความเป็นที่สงสัยหรือคลุมเครือ จะต้องตีความในทางที่กฎหมายนั้น มีความเป็นธรรม” แต่ในทางปฏิบัติมักจะเห็นการตีความแบบเอียงข้างอำนาจรัฐเสมอ เพราะคนตีความก็อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ หรือเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจรัฐนั่นเอง
เช่น ไปตีความว่า “คันธง มีสภาพเป็นอาวุธในการชุมนุมของชาวบ้าน” เพื่อจะบอกว่า การกระทำของชาวบ้านไม่เข้าข่ายการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ เป็นต้น
“ความแข็งกระด้างของกฎหมายไม่ใช่ความยุติธรรม แต่เป็นความอยุติธรรมหรือการปฏิเสธความยุติธรรม” ผู้ใช้อำนาจรัฐมักใช้กฎหมายแบบแข็งกระด้าง เป็นอาวุธในการป้องปรามประชาชนไม่ให้แข็งข้อต่อความอยุติธรรมของรัฐในฐานะผู้ได้เปรียบเสมอ
เช่น ใช้กฎหมายจราจรทางบกมาเล่นงานชาวบ้านที่เดินเท้าบนถนนร่วม ๘๐ กิโลเมตร เพื่อไปบอกเล่าความทุกข์แก่นายกรัฐมนตรีของพวกเขา เป็นต้น
“อยุติธรรมย่อมเกิดขึ้น เมื่อสิ่งที่เหมือนกันได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนกัน และสิ่งที่แตกต่างกันได้รับการปฏิบัติที่เหมือนกัน” เราจะเห็นได้จากปะทะกับอำนาจรัฐในการคัดค้านโครงการขนาดใหญ่ ที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน
ฝ่ายคัดค้านจะถูกดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายในทุกวิถีทาง แต่ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลกลับได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่ยานพาหนะเดินทาง อาหารการกิน ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมแสดงพลังสนับสนุน เป็นต้น
ดังนั้น ผู้ใช้กฎหมายและผู้ใช้อำนาจรัฐต้องตระหนักและสำนึกเสมอว่า “เหตุผลคือ วิญญาณของกฎหมาย เมื่อเหตุผลของกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป กฎหมายก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วย”
นอกจากนั้น เวลาใช้กฎหมายพึงสำเหนียกว่า “ไม่มีกฎหมายใดที่ไร้ความยุติธรรม” เพราะ “กฎหมายกับความยุติธรรมต้องไม่ขัดแย้งกัน” และ “ความยุติธรรมคือเจตนารมณ์ของกฎหมาย”
สุดท้ายแล้ว “การประกอบความดีคือ ความยุติธรรม” มิใช่อะไรอื่นเลย.