“วัดแหลมพ้อ” เชื่อว่าหลายคนที่รู้จัก สิ่งแรกที่นึกถึงคือ “พระนอนองค์ใหญ่” ซึ่งเป็นจุดเด่นของวัดแห่งนี้ โดยตั้งอยู่บริเวณ ต.เกาะยอ อ.เมืองสงขลา
การเดินทางมาวัดแห่งนี้คือต้องขับรถข้าม “สะพานติณสูลานนท์” เมื่อถึงเชิงสะพานช่วงแรก ก็จะมองเห็นพระนอนองค์ใหญ่ ให้เตรียมรถชิดซ้าย เลี้ยวตามป้ายตรงเข้ามายังวัดแหลมพ้อ แล้วก็จะพบกับพระนอนที่มีขนาดใหญ่สะดุดตา
องค์พระนอนที่วัดแห่งนี้นั้น เป็นพระพุทธรูปปรินิพานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีประวัติความเป็นมาคือ พระพุทธรูปปรินิพาน ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2537 ประดิษฐานที่ไม่สูงนัก อีกทั้งที่ตั้งวัดอยู่ใกล้ถนนเชิงสะพานติณสูลานนท์ ฝั่งเกาะยอ จึงทำให้เป็นที่สะดุดตาของผู้ที่ขับขี่รถผ่านไปมา
ซึ่งนอกจากชาวไทยพุทธที่มากราบไหว้ยังวัดแห่งนี้แล้ว ยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวชาวมาเลเซีย ที่มากราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตอีกด้วย
ขณะที่พระอุโบสถแห่งนี้ก็ถือได้ว่าเก่าแก่ และดูแปลกตาอยู่พอสมควร โดยมีการตกแต่งส่วนด้านหน้าเป็น “ช้างเอราวัณ” จั่วด้านหน้าเป็นลายรูปพระนารายทรงครุฑ สีสันของอุโบสถสีขาวดูสวยสะอาดตา ให้ความรู้สึกที่แปลกตาเล็กน้อย เพราะสวนใหญ่เรามักจะคุ้นชินกับสีแดง และสีทองเสียมากกว่า
นอกจากพระพุทธรูปปางปรินิพานแล้ว ที่บริเวณหน้าองค์พระนอน จะเห็นมีรูปหล่อเหมือนพระ 5 องค์ ประกอบด้วย สมเด็จเจ้าเกาะยอ, สมเด็จเจ้าเกาะใหญ่, สมเด็จเจ้าพระโคะ (หลวงปู่ทวด), สมเด็จเจ้าจอมทอง และสมเด็จโต ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นที่สักการะบูชาของชาวสงขลาเป็นอย่างมาก ซึ่งหากใครได้ไปลองศึกษาประวัติก็จะพบว่า แต่ละองค์นั้นมีเรื่องเหนือธรรมชาติ และปาฏิหาริย์มากมายเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมี “ศาลาท้าวมหาพรหม” “ศาลาเจ้าแม่กวนอิม” และ “สมเด็จพระเจ้าเกาะยอปางมารวิชัย” ที่มีให้สักการะบูชาอีกด้วย
ทั้งหมดที่ว่านี้ “วัดแหลมพ้อ” จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ผู้ที่เข้ามาสักการะบูชาที่วัดแหลมพ้อนั้น ต่างมีเหตุมีผลที่ไม่เหมือนกัน การมาท่องเที่ยวเพื่อกราบไหว้พระเป็นเรื่องของความศรัทธา และความสบายอกสบายใจ
“วัดแหลมพ้อ” จึงถือเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ไว้เป็นมรดกของชาติ ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมต่อกันสืบไป
------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่อง/ภาพ : สุชาดา ศรีสวัสดิ์