คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
--------------------------------------------------------------------------------
ก่อนอื่นต้องขอบคุณ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสารท ผู้บันชาการกองทัพบก (ผบ.ทบ.) ที่ออกมาเปิดประเด็นเรื่องการปลดระวาง “เรือเหาะ” หรือ “บอลลูนตรวจการณ์” ที่ซื้อมาจากบริษัทผู้ผลิตในราคา 350 ล้านบาท เมื่อครั้งที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยเวลานี้ยังนั่งเป็น ผบ.ทบ.อยู่
ในครั้งนั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายถึงเรื่องของ “ราคา” ที่ “แพงกว่าความเป็นจริง” และเมื่อนำมา ปฏิบัติการจริง ณ แผ่นดินปลายด้ามขวานปรากฏว่า เรือเหาะลำดังกล่าวไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ทั้งเรื่องความสูงของการบิน ความยุ่งยากในการตรวจการ ทั้งบนตัวบอลลูนและอุปกรณ์ต่างๆ ในภาคพื้นดิน
และที่สำคัญค่าใช้จ่ายเรื่องเชื้อเพลิง ซึ่งใช้ “ก๊าซฮีเลียม” ต้องใช้ “สูงถึงครั้งละ 3 ล้านบาท” ในการขึ้น-ลง เพื่อใช้ ตรวจการ-ถ่ายภาพในแต่ละครั้ง
สุดท้าย “เรือเหาะบันลือโลก” ลำนี้ก็บินได้เพียง 6 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายขึ้นแล้ว “กลับไม่ถึงโรงจอด” ในกองพลที่ 15 อ.โคกโพธิ์ จ. ปัตตานี เพราะตกลงมา “นอนแอ้งแม้ง” กลางทุ่งนา ต้องนำไปจอดในโรงเก็บด้วยความลุลักทุเลท่ามกลางเสียง “ถอนหายใจ” ของเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อ “ยานยนต์บันลือโลก” ลำนี้
สรุปว่ากองทัพซื้อเรือเหาะลำนี้มาเป็นเวลา 8 ปี ในราคา 350 ล้านบาท “บินได้ 6 ครั้ง” แล้วก็ไม่สามารถบินได้ต่อไป เพราะ ตัวลำเต็มไปด้วย “รูรั่ว” จนยากที่จะ “เยียวยา” และที่น่าตกใจคือ จอดเฉยๆ ยังมี “ค่าบำรุงรักษาปีละ 50 ล้าน”
รวมเบ็ดเสร็จของค่าใช้จ่ายสำหรับเกี่ยวกับเรือเหาะสุดพิสดารลำนี้ “กว่า 800 ล้านบาท” ซึ่งอาจจะไม่มากสำหรับ “กองทัพบก” ที่มีงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธครั้งละเป็นแสนๆ ล้านบาท
แต่เงิน 800 ล้านที่มาจาก “ภาษีของประชาชน” นี่ ถ้าถูกมาใช้แบบไม่คุ้มค่า นับเป็นความเสียหายที่ประมาณค่ามิได้ โดยเฉพาะใน “ความรู้สึกของประชาชน”
ที่บอกว่าต้องขอบคุณ พล.อ.เฉลิมชัยที่นำเรื่องปลดระวางเจ้าเรือเหาะลำนี้มาบอกให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะหาก ผบ.ทบ.ไม่ออกมาเปิดเผย คนทั้งประเทศ รวมทั้งคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้คง “ลืม” เรื่องของเรือเหาะเจ้าเวรเจ้ากรรมลำนี้ไปแล้ว
แต่เมื่อถูกนำมาเปิดเผยให้รู้ว่าเรือเหาะลำนี้จบภารกิจในสนามของ “สงครามประชาชน” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว จึงเป็นการเปิดโอกาสให้สื่อมวลชน ภาคประชาชนและคนทั่วไปได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความผิดพลาด” ในการใช้งบประมาณเพื่อการ “ดับไฟใต้” อีกครั้ง
และครั้งนี้นอกจากจะมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเรือเหาะถึงความไม่คุ้มค่า ความผิดพลาดในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ที่ไม่เหมาะกับพื้นที่ และเป็นยุทโธปกรณ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพด้วยแล้ว ยังมีการถามถึงเรื่องของ “เครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด” หรือ “จีที 200 “ ซึ่งถูกขนานนามว่า “ไม้ล้างป่าช้า” อีกคราครั้งหนึ่งด้วย
เพราะเครื่องจีที 200 ก็ต้องนับเป็น “บาดแผล” ของกองทัพ และเป็น “ความขมขื่น” ของประชาชน เจ้าของภาษี ซึ่งหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานกลายเป็น “ไอ้โง่” ที่ถูกบริษัทขายอาวุธเอาสินค้าราคาถูกๆ ที่ไม่มีประสิทธิภาพในการใช้งานมา “แหกตา” หลอกขายในราคาที่ “แพง” กว่าข้อเท็จจริงถึง 1,000 เท่า
และที่สำคัญอย่างที่สุดคือ จีที 200 ไม่มีคุณสมบัติในการตรวจหาวัตถุระเบิดแต่อย่างใด
สำหรับเครื่องจีที 200 นั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่อง “อื้อฉาว” และมีการ “ฟ้องร้อง” ให้ ปปช.ทำหน้าที่ในการตรวจสอบไปแล้ว แต่ก็น่าเสียดายที่ผลการตรวจสอบบอกว่า “ไม่ผิด” “ไม่ได้โกง” และ “ไม่สามารถเอาผิด” ทั้งกับ “หน่วยงาน” หรือ “บุคคล” ผู้มีหน้าที่ในการจัดซื้อได้
เหตุผลสั้นๆ คือ เพราะมีหลายประเทศที่โดน “แหกตา” หรือ “ถูกต้มจนเปื่อยยุ่ย” แบบเดียวกับหน่วยงานของไทย
ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า มาตรฐานในการ “ชี้ขาด” ว่ามีการ “ทุจริต” หรือ “บกพร่อง” หรือไม่นั้น ถ้ามีคน “หมู่มาก” ถูก “ต้มตุ๋น” และ “เสียค่าโง่” เหมือนๆ กันแล้ว นั่นจะไม่มีความผิด ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าประเทศอื่นๆ ที่ถูกบริษัทผู้ผลิตจีที 200 หลอกลวงและต้มตุ๋นจะตัดสินเช่นเดียวกับประเทศเราหรือไม่
เปล่าครับ! ที่นำเรื่องเรือเหาะและเรื่องจีที 200 มาเขียนถึงในวันนี้ ไม่ได้คาดหวังว่าหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการ “ตรวจสอบ” จะสามารถเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนจัดซื้อยุทโธปกรณ์เหล่านี้ได้ เพราะ “เคยฟันธง” ตั้งแต่วินาทีนี้แล้วว่า ถึงจะมีการตรวจสอบใหม่อีกครั้ง ก็หาคนผิดมาลงโทษไม่ได้อยู่ดี
แต่จุดประสงค์ที่นำเรื่องนี้มาเขียนไม่ได้กล่าวหาว่า มีการ “ทุจริต” หรือการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” แต่ประการใด เพียงแต่ต้องการให้หน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบในเรื่องของ “จัดหาจัดซื้อยุทโธปกรณ์” ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของกองทัพไหนๆ หรือหน่วยงานใดๆ ก็ตาม
ก่อนที่จะมีการจัดซื้อ อยากขอให้มีการศึกษาให้ชัดเจนว่า เมื่อซื้อมาแล้วสามารถ “ใช้งานได้จริง” กับ “ภูมิประเทศ” นั้นๆ และ “มีประสิทธิภาพ” ในการใช้งานได้จริงตามที่ผู้ขาย หรือผู้ผลิตได้โฆษณาและกำหนด “สเปก” เอาไว้ ไม่ใช่เป็นการซื้อแบบ “ลวกๆ” หรือซื้อเพราะมี “เหตุผลอื่นๆ แอบแฝง” โดยไม่ได้หวังที่จะนำมาใช้งานจริง
เพราะทั้งสองเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มี “กองทัพ” เป็น “ผู้เสียหาย” ในขณะที่ “ประชาชน” ก็ต้อง “เสียความรู้สึก” และมองกองทัพด้วยสายตาที่ “ไม่ไว้วางใจ” โดยเฉพาะ “ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งอยู่กับสถานการณ์ของความไม่สงบมายาวนานกว่า 13 ปี
ที่สำคัญมากคือ ประชาชนมองเห็น “ตัวเลข” ของความ “ทุ่มเท” ของกองทัพ ของรัฐบาล ในการที่จะ “ดับไฟใต้” ด้วยการทุ่มงบประมาณไปแล้ว “หลายแสนล้านบาท” แต่ไฟใต้ก็ยังไม่มอดดับ
จึงเป็นเรื่องที่จะห้ามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนในพื้นที่ที่มอง “ด้านลบ” กับรัฐบาลและกองทัพไม่ได้ เพราะข่าวที่ปรากฏออกมาทั้งในเรื่องของเรือเหาะ ในเรื่องของจีที 200 นั้น ถือเป็นการ “ซ้ำเติม” ให้ประชาชนในพื้นที่เชื่อว่า
สาเหตุที่สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่ยุตินั้น มาจากเรื่องของ “ผลประโยชน์” เรื่องของ “งบประมาณ” มากกว่าเรื่องการ “ไร้ประสิทธิภาพ” ของ เจ้าหน้าที่รัฐ
ที่นำเรื่องเรือเหาะและจีที 200 มาเขียนในครั้งนี้ เพียงต้องการที่บอกว่า “ยังมีเรื่องอื้อฉาว” ในหลายๆ เรื่องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “งบประมาณ” เกี่ยวข้องกับ “การจัดซื้อ-จัดจ้าง” และโครงการต่างๆ ของรัฐที่มีลักษณะของการ “ซ่อนมือใต้ผ้า” ที่แม้จะยังไม่ใครออกมาเปิดโปง แต่ก็เป็นที่ “รู้กัน” และ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่ากับการแก้ปัญหาในพื้นที่
และหวังว่าบทเรียนของเรือเหาะและจีที 200 คงจะสร้างความรอบคอบให้กับโครงการต่างๆ ของกองทัพ ทั้งในเรื่องของ “เรือดำน้ำ” “รถถัง” “ขีปนาวุธ” และวัตถุปัจจัยอื่นๆ เพื่ออย่าให้ “ซ้ำรอย” กับเรื่องเหล่านี้
โดยเฉพาะในอนาคตการขับเคลื่อน “โครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง” ของรัฐบาลที่มี “เม็ดเงิน” จำนวน “มหาศาล” ที่จะถูกทุ่มเทลงไปในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดมิติในด้าน “การพัฒนา” เพื่อใช้สู้กับ “ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ” ใครจะเป็นผู้ตรวจสอบการใช้งบประมาณเหล่านี้ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของการ “ดับไฟใต้” อย่างแท้จริง
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่กองทัพและรัฐบาลไม่ควรที่จะมองข้าม เพราะในอนาคต “การตรวจสอบจากภาคประชาสังคม” จะต้องเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
รัฐบาล กองทัพและหน่วยง่านต่างๆ ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของ “การตรวจสอบ” เพื่อสร้าง “ความ โปร่งใส” ให้เกิดขึ้น เพราะนโยบายที่กองทัพตรวจสอบหน่วยงานอื่นๆ และบุคคลอื่นๆ โดยที่การใช้งบประมาณของกองทัพเองกลับ “ตรวจสอบไม่ได้” น่าจะต้องหมดไปได้แล้ว
เพราะกองทัพเองก็คือ หน่วยงานที่ต้อง “สร้างความโปร่งใส” เป็นอันดับต้นๆ เพื่อ “สร้างศรัทธา” ให้กับ ประชาชน
สถานการณ์ความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ยังต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากมีแต่การใช้โดยที่ “ไม่มีการควบคุมให้รัดกุม” สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะหนีไม่พ้น “เรื่องอื้อฉาว”
ไม่แตกต่างจากทั้งเรื่อง “เรือเหาะ” เรื่อง “จีที 200” ของกองทัพดังที่กล่าวมา และแม้กระทั่งเรื่อง “ไฟฟ้าโซลาร์เซลล์” เรื่อง “สนามฟุตซอล” ของ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)” และในหน่วยงานอื่นๆ อีกมากมายก่ายกอง
สุดท้ายก็จะเป็นการตอบโจทย์ว่า “การใช้งบประมาณมหาศาล” เป็นสาเหตุให้เกิด “การทุจริต” ที่เพิ่มมากขึ้น และ “ความมั่นคง มั่งคั่ง” ก็จะตกอยู่กับแค่ “คนกลุ่มหนึ่ง” แต่ในส่วนของ “ประชาชน” และ “ประเทศชาติ” กลับเป็นเพียงข้ออ้างในการ “สร้างความมั่งคั่ง” ให้กับกลุ่มคนที่ว่าเท่านั้น