พังงา - แม่หญิงวัย 15 ปี โร่ แจ้งความ สภ.โคกกลอย จ.พังงา หลังลูกสาวโดนรุมโทรม 6 ครั้ง คนทำผิด 40 คน นานนับปี แต่จับได้แค่ 3 คน ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่วอนสังคมหยุดการแชร์เรื่องราวทางโลกโซเชียล มีการรุมโทรม 40 คนเพราะจะทำให้หมู่บ้านเสียหาย
เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ สภ.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา เจ้าหน้าที่มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติสาขาภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ได้นำ น.ส.จ๊ะ (นามสมมติ) อายุ 39 ปี ชาว จ.พังงา แม่ของ ด.ญ.น้อง (นามสมมติ) อายุ 15 ปี อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงาเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.กิตติภูม ถิ่นกลาง สารวัตรสอบสวน เพื่อหาตัวกลุ่มคนในอำเภอตะกั่วทุ่ง จ.พังงา มาดำเนินคดีเพิ่มเติม กรณีก่อเหตุรุมโทรมข่มขืน ด.ญ.น้อง นอกเหนือจากผู้ต้องหา 3 คน ที่อัยการจังหวัดพังงา ได้มีการสั่งฟ้องในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุ 15 ปี ไปก่อนหน้าแล้ว
นายชานนท์ อับดุลล่าห์ มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติสาขาภูเก็ต กล่าวถึงการเข้าไปช่วยเหลือครอบครัว น.ส.จ๊ะ และลูก ที่ถูกคนในหมู่บ้าน และนอกหมู่บ้านกระทำชำเรา ว่า หลังจากที่มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ได้รับทราบเรื่องจากบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพังงา ว่า มีกรณีเด็กถูกคนจำนวนมากกระทำชำเราเด็กหญิงชาวมุสลิม เหตุเกิดเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ทางมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ จึงได้ให้ส่วนที่เป็นด้านสังคมสงเคราะห์ เข้าไปพบปะพูดคุยกับผู้เสียหาย พบว่า มีการก่อเหตุกระทำชำเราเด็กหญิงคนดังกล่าวไม่ได้มีผู้ก่อเหตุเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น แต่ยังมีผู้ร่วมกระทำผิดอีกรวมประมาณ 40 คน
ทางมูลนิธิจึงได้ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย และอำนวยความสะดวกแก่แม่ และเด็กหญิงผู้ถูกกระทำชำเรา ในการพบทนาย และเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่มเติม โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 ซึ่งพบว่า ผู้กระทำชำเราในชุดแรกนั้นมีผู้ต้องหาจำนวน 3 คน ที่อัยการได้ทำการส่งฟ้องดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในการสอบถามทราบว่า หลังจากที่ผู้ต้องหาชุดแรกก่อเหตุก็ได้มีการการชักชวนคนในหมู่บ้านเข้ามาร่วมกระทำชำเรากับเด็กหญิงคนดังกล่าว จนกระทั่งมีการนำออกนอกพื้นที่ และมีผู้ร่วมกระทำมากขึ้น ซึ่งได้ให้การว่า มีการกระทำชำเรามากถึง 6 ครั้ง โดยครั้งที่มากสุดมีผู้ร่วมกระทำชำเราถึง 11 คน ส่วนครั้งอื่นๆ ก็จะมีประมาณ 5-7 คน
โดยผู้ต้องหา 3 คนแรก จะเป็นผู้ที่พาเด็กหญิงไปยังขนำบริเวณชายหาด และร่วมกันกระทำชำเราถึง 3 ครั้ง นอกจากนั้น ยังพบว่ามีที่อื่นๆ อีกประมาณ 3 ครั้ง โดยพบว่า การกระทำทุกครั้งจะเป็นช่วงเวลาที่ พ่อและแม่ของเด็กออกไปรับจ้างกรีดยางพารา ซึ่งน้องได้ให้การว่า ทุกครั้งที่มีการกระทำเป็นการถูกบังคับทั้งสิ้น โดยมีการข่มขู่ว่า หากไม่ยอมจะมีการทำร้ายครอบครัว จึงทำให้เกิดความกังวล และยอมให้กระทำ
ทางด้าน นายสมศักดิ์ หลาวหล้าง ชาวบ้าน อ.ตะกั่วทุ่ง กล่าวว่า ได้มีการแชร์เรื่องราวทางโลกโซเชียล เฟซบุ๊กว่า มีชาวบ้านใน อ.ตะกั่วทุ่ง ได้มีการรุมโทรมเด็กหญิงอายุ 14 ปี (ขณะนั้น) ปัจจุบันอายุ 15 ปี จำนวน 40 คน โดยมีการใช้คำพูดว่า 40 ทรชน ซึ่งชาวบ้านรับไม่ได้ต่อคำพูดนี้ และชาวบ้านอยากจะไห้ทางเจ้าหน้าที่นำตัวผู้เสียหายมาชี้ตัวว่า 40 คน ในหมู่บ้านนั้นเป็นใครบ้าง ทางชาวบ้านไม่ต้องการอะไรมากนอกจากต้องการกู้ชื่อเสียงของชาวชาวบ้านคืนมา
ปกติพื้นบริเวณชายหาด ตรงนี้จะมีชาวบ้านในพื้นที่ และชาวบ้านต่างถิ่นมาพักผ่อน นำอาหารมารับประทานชมพระอาทิตย์ตก แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นไม่มีใครกล้าเข้ามาพื้นที่นี้อีกเลย โดยคนภายนอกมองว่า หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านมีอิทธิพล พวกเราอยากจะร้องขอความเป็นธรรม ว่า หมู่แห่งนี้บ้านเป็นชุมชนมุสลิมที่เงียบสงบ ใช้ชีวิตอยู่แบบเรียบง่าย ประกอบอาชีพรับจ้างและทำประมง และขอรับรองว่า ไม่เคยเกิดเรื่องการรุมโทรมอย่างที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีคนมีหลายฝ่ายให้ความสนใจในคดีดังกล่าว ทั้งชาวบ้านในพื้นที่เกิดเหตุ และหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบเตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ สภ.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา เจ้าหน้าที่มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติสาขาภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ได้นำ น.ส.จ๊ะ (นามสมมติ) อายุ 39 ปี ชาว จ.พังงา แม่ของ ด.ญ.น้อง (นามสมมติ) อายุ 15 ปี อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงาเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.กิตติภูม ถิ่นกลาง สารวัตรสอบสวน เพื่อหาตัวกลุ่มคนในอำเภอตะกั่วทุ่ง จ.พังงา มาดำเนินคดีเพิ่มเติม กรณีก่อเหตุรุมโทรมข่มขืน ด.ญ.น้อง นอกเหนือจากผู้ต้องหา 3 คน ที่อัยการจังหวัดพังงา ได้มีการสั่งฟ้องในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุ 15 ปี ไปก่อนหน้าแล้ว
นายชานนท์ อับดุลล่าห์ มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติสาขาภูเก็ต กล่าวถึงการเข้าไปช่วยเหลือครอบครัว น.ส.จ๊ะ และลูก ที่ถูกคนในหมู่บ้าน และนอกหมู่บ้านกระทำชำเรา ว่า หลังจากที่มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ได้รับทราบเรื่องจากบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพังงา ว่า มีกรณีเด็กถูกคนจำนวนมากกระทำชำเราเด็กหญิงชาวมุสลิม เหตุเกิดเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ทางมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ จึงได้ให้ส่วนที่เป็นด้านสังคมสงเคราะห์ เข้าไปพบปะพูดคุยกับผู้เสียหาย พบว่า มีการก่อเหตุกระทำชำเราเด็กหญิงคนดังกล่าวไม่ได้มีผู้ก่อเหตุเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น แต่ยังมีผู้ร่วมกระทำผิดอีกรวมประมาณ 40 คน
ทางมูลนิธิจึงได้ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย และอำนวยความสะดวกแก่แม่ และเด็กหญิงผู้ถูกกระทำชำเรา ในการพบทนาย และเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่มเติม โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 ซึ่งพบว่า ผู้กระทำชำเราในชุดแรกนั้นมีผู้ต้องหาจำนวน 3 คน ที่อัยการได้ทำการส่งฟ้องดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในการสอบถามทราบว่า หลังจากที่ผู้ต้องหาชุดแรกก่อเหตุก็ได้มีการการชักชวนคนในหมู่บ้านเข้ามาร่วมกระทำชำเรากับเด็กหญิงคนดังกล่าว จนกระทั่งมีการนำออกนอกพื้นที่ และมีผู้ร่วมกระทำมากขึ้น ซึ่งได้ให้การว่า มีการกระทำชำเรามากถึง 6 ครั้ง โดยครั้งที่มากสุดมีผู้ร่วมกระทำชำเราถึง 11 คน ส่วนครั้งอื่นๆ ก็จะมีประมาณ 5-7 คน
โดยผู้ต้องหา 3 คนแรก จะเป็นผู้ที่พาเด็กหญิงไปยังขนำบริเวณชายหาด และร่วมกันกระทำชำเราถึง 3 ครั้ง นอกจากนั้น ยังพบว่ามีที่อื่นๆ อีกประมาณ 3 ครั้ง โดยพบว่า การกระทำทุกครั้งจะเป็นช่วงเวลาที่ พ่อและแม่ของเด็กออกไปรับจ้างกรีดยางพารา ซึ่งน้องได้ให้การว่า ทุกครั้งที่มีการกระทำเป็นการถูกบังคับทั้งสิ้น โดยมีการข่มขู่ว่า หากไม่ยอมจะมีการทำร้ายครอบครัว จึงทำให้เกิดความกังวล และยอมให้กระทำ
ทางด้าน นายสมศักดิ์ หลาวหล้าง ชาวบ้าน อ.ตะกั่วทุ่ง กล่าวว่า ได้มีการแชร์เรื่องราวทางโลกโซเชียล เฟซบุ๊กว่า มีชาวบ้านใน อ.ตะกั่วทุ่ง ได้มีการรุมโทรมเด็กหญิงอายุ 14 ปี (ขณะนั้น) ปัจจุบันอายุ 15 ปี จำนวน 40 คน โดยมีการใช้คำพูดว่า 40 ทรชน ซึ่งชาวบ้านรับไม่ได้ต่อคำพูดนี้ และชาวบ้านอยากจะไห้ทางเจ้าหน้าที่นำตัวผู้เสียหายมาชี้ตัวว่า 40 คน ในหมู่บ้านนั้นเป็นใครบ้าง ทางชาวบ้านไม่ต้องการอะไรมากนอกจากต้องการกู้ชื่อเสียงของชาวชาวบ้านคืนมา
ปกติพื้นบริเวณชายหาด ตรงนี้จะมีชาวบ้านในพื้นที่ และชาวบ้านต่างถิ่นมาพักผ่อน นำอาหารมารับประทานชมพระอาทิตย์ตก แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นไม่มีใครกล้าเข้ามาพื้นที่นี้อีกเลย โดยคนภายนอกมองว่า หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านมีอิทธิพล พวกเราอยากจะร้องขอความเป็นธรรม ว่า หมู่แห่งนี้บ้านเป็นชุมชนมุสลิมที่เงียบสงบ ใช้ชีวิตอยู่แบบเรียบง่าย ประกอบอาชีพรับจ้างและทำประมง และขอรับรองว่า ไม่เคยเกิดเรื่องการรุมโทรมอย่างที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีคนมีหลายฝ่ายให้ความสนใจในคดีดังกล่าว ทั้งชาวบ้านในพื้นที่เกิดเหตุ และหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบเตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว