xs
xsm
sm
md
lg

ไอ้เคี่ยมภูเก็ตเครียดไม่แตะอาหารที่ จนท.จัดให้ ผู้ว่าฯ สั่งเร่งหาที่มา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวภูเก็ต - เครียดไม่กินอาหาร! ผู้ว่าฯ เยี่ยมอาการจระเข้ยักษ์ หลังถูกจับจากขุมน้ำหน้าหาดเลพัง จ.ภูเก็ต มาไว้ที่บ้านพักชั่วคราว พบตั้งแต่จับมายังไม่ยอมกินอาหารที่ทางเจ้าหน้าที่จัดให้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ติดป้ายเตือนระวังจระเข้ดุ ห้ามเข้าใกล้ พร้อมสั่งประมงเร่งหาที่มาของจระเข้ให้ชัดเจนมาจากธรรมชาติ หรือคนเลี้ยง

นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนภายหลังการตรวจเยี่ยมติดตามอาการจระเข้ที่จับมาไว้ที่บ่อพักฟื้นศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งเขต 5 (ภูเก็ต) บ้านพารา ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ว่า ขณะนี้ในเรื่องของชนิดจระเข้ที่เจ้าหน้าที่จับตัวมาได้หลังจากพบว่ายน้ำอยู่ในทะเล และย้ายมาอยู่ที่ขุมน้ำหน้าหาดเลพัง ทางประมงจังหวัดภูเก็ต ยืนยันชัดเจนว่า เป็นจระเข้น้ำเค็ม เพศผู้ ความยาว 3 เมตรเศษ น้ำหนักประมาณ 200 กิโลกรัม โดยที่ปากบ่อทางเจ้าหน้าที่ติดป้ายเตือนระวังจระเข้ดุ

ส่วนแนวทางในการดูแลจระเข้ดังกล่าวหลังที่มีการจับมาได้แล้ว มีอยู่ 2 แนวทาง คือ หากเก็บไว้ที่นี่ ทางศูนย์เพาะเลี้ยงฯ จะมีศักยภาพพอในการดูหรือไม่ เพราะว่าการเลี้ยงนั้นจะต้องมีอาหารเพียงพอ และจะต้องอาศัยปัจจัยหลายๆ อย่างในการดูแลให้เขามีความปลอดภัยสูงสุด และอีกแนวทางคือ การส่งมอบให้หน่วยงานอื่นเป็นผู้ดูแล ซึ่งขณะนี้ทางประมงได้ทำหนังสือไปยังกรมประมงเพื่อตัดสินใจว่า จะมอบจระเข้ให้หน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบ และดูแล เนื่องจากการเลี้ยงจระเข้จะต้องมีศักยภาพ มีความพร้อม และเป็นไปตามธรรมชาติให้มากที่สุด เช่น สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ สวนสัตว์ หรือหน่วยงานที่มีศักยภาพในการดูแลจระเข้ได้

“อย่างไรก็ตาม จากการดูสภาพของจระเข้ พบว่า ยังคงมีอาการซึมเศร้า เครียด และไม่กินอาหาร ซึ่งคงต้องใช้เวลาในการปรับตัว เนื่องจากปกติเขาจะอาศัยอยู่ในน้ำ และชายฝั่ง มีพื้นที่กว้างอย่างเป็นอิสระ เพราะเขาเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เมื่อจับมาอยู่ในที่จำกัดทำให้เขาเกิดอาการเครียดได้ โดยทางประมงจังหวัด ได้มีการประสานไปยังผู้เชี่ยวชาญจากส่วนกลางเข้ามาดูแลอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อรักษาอาการ และให้กลับมากินอาหารได้ปกติ คาดว่าจะเดินทางเข้ามาในช่วง 1-2 วันนี้ ส่วนจะต้องอยู่ในบ่อพักอีกกี่วันนั้นคงไม่สามารถบอกได้ เพราะอำนาจการเคลื่อนย้ายอยู่ที่อธิบดีกรมประมง ซึ่งขณะนี้ได้ทำหนังสือหารือไปแล้ว”

นายนรภัทร ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข้อสงสัยว่า เมื่อเป็นจระเข้น้ำเค็มแล้ว ในพื้นที่จะมีจระเข้ตัวอื่นอีกหรือไม่ ขณะนี้ได้สั่งให้ประมง และหน่วยงานอื่นๆ เฝ้าระวัง ตรวจสอบให้มากขึ้น และให้โจทย์ประมงจังหวัดภูเก็ต ไปหาข้อเท็จจริงว่า จระเข้ตัวดังกล่าวมีที่มาจากไหน มาจากแหล่งธรรมชาติ หรือมาจากแหล่งที่มีการเพาะเลี้ยง ซึ่งการดำเนินการไม่จบแค่เพียงว่าจับจระเข้ได้แล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ต้องไปตรวจสอบว่า ในรัศมี หรือบริเวณที่มีการพบจระเข้ดังกล่าวจะมีอยู่ตามธรรมชาติ ต้องอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมาตรวจสอบ และหากไม่ใช่มีอยู่ตามธรรมชาติก็ต้องไปดูว่ามาจากทีไหน เพราะจระเข้เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งคงไม่ได้อยู่แต่ในทะเลอย่างเดียว แต่จะขึ้นมาบนชายหาดเพื่อหายใจ จากนั้นก็จะกลับลงทะเลไปแล้ว ซึ่งหากตรวจสอบว่าไม่มีแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติ ก็อาจจะสรุปได้ว่า เป็นจระเข้เลี้ยง แต่ก็ต้องไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยว่า เลี้ยงได้อย่างไร ซึ่งได้ให้ทางประมงจังหวัดไปตรวจสอบว่าในพื้นที่บริเวณดังกล่าวเคยพบการเลี้ยงจระเข้หรือไม่ เพราะอาจจะเคยมีคนเลี้ยงไว้ เนื่องจากดูลักษณะที่พบในวันแรกพบว่าจระเข้ค่อนข้างสมบูรณ์ แสดงว่าต้องอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีอาหารการกินที่ดี แต่ทั้งหมดเป็นเพียงการสันนิษฐานในเบื้องต้น

“ดังนั้น เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจน ทางประมงก็จะต้องนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบเพื่อจะได้ตอบข้อสงสัยต่างๆ ได้ชัด โดยเฉพาะประเด็นว่ามาจากแหล่งใด เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วจะได้หาวิธีการ และมาตรการในการป้องกันต่อไป โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเพิ่มความระมัดระวังตรวจสอบพื้นที่ที่คาบเกี่ยวอย่างต่อเนื่องตลอด และจะต้องหาข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่ ว่า เคยมีการพบร่องรอยจระเข้หรือไม่อย่างไร ” นายนรภัทร กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น