ยะลา - ผู้ประกอบการแปรรูปทุเรียนทอด จ.ยะลา เผยปีนี้ประสบปัญหาทุเรียนมีจำนวนน้อย เป็นปัญหาจากก่อนหน้านี้มีฝนตกลงมาต่อเนื่อง ทำให้มีจำนวนไม่เพียงพอต่อการแปรรูป
วันนี้ (24 ส.ค.) ที่กลุ่มแปรรูปทุเรียนทอด (กะป๊ะ-บังยี) ถนนสาย 15 ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา บรรดาสมาชิกของกลุ่มได้ร่วมกันนำทุเรียนที่รับซื้อมาจากชาวสวนในพื้นที่ มาปอกเปลือกเพื่อเตรียมแปรรูปเป็นทุเรียนทอด ส่งขายทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งวิธีการแปรรูปก็จะนำทุเรียนที่ปอกเปลือกแล้วเข้าเครื่องสไลด์เป็นแผ่นบางๆ ก่อนจะนำไปทอดจนกรอบ แล้วบรรจุใส่ถุงจำหน่ายหลายราคา รวมทั้งยังมีหลายรสชาติด้วย ไม่ว่าจะเป็นรสดั้งเดิม รสสาหร่าย รสต้มยำ และรสปาปริก้า โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 79 บาท
น.ส.โซเฟีย เจะหวังสวา หัวหน้าฝ่ายการตลาด กลุ่มแปรรูปทุเรียนทอด (กะป๊ะ-บังยี) เปิดเผยว่า จากเดิมทางกลุ่มได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกทุเรียน และในช่วงปี 2547 ผลผลิตทุเรียนล้นตลาด ราคาทุเรียนก็ตกต่ำ ทางกลุ่มก็ได้ร่วมกันคิดว่าจะช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนทุเรียนได้อย่างไร ก็เริ่มทดลองทำทุเรียนทอดรับประทานกันเอง จากนั้นก็มีการพัฒนาสูตรกันเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มให้เพื่อนบ้าน ญาติมิตร ทดลองชิมกันดู ทุกคนก็ชื่นชอบในรสชาติ จึงได้มีความคิดว่าจะทำเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าของทางกลุ่ม
ซึ่งได้เริ่มจัดตั้งเป็นกลุ่มแปรรูปทุเรียนทอดขึ้นมาเมื่อปี 2554 โดยมีสมาชิกเกือบ 20 คน และทุเรียนที่นำมาแปรรูปก็จะเป็นทุเรียนในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และบางอำเภอของสงขลา ซึ่งทุเรียนที่ทางกลุ่มนำมาแปรรูปจะเป็นทุเรียนหมอนทอง ขนาดจัมโบ้ นอกจากนั้น ก็ยังส่งทุเรียนเป็นลูกไปประเทศมาเลเซีย รวมทั้งตลาดไทย
“ในปีที่ผ่านมา ทางกลุ่มได้นำทุเรียนมาแปรรูปได้มากถึง 200 ตัน ซึ่งจะได้เนื้อทุเรียนประมาณ 20 ตัน ซึ่งเพียงพอต่อการจำหน่ายตลอดทั้งปี สำหรับตลาดในไทยกำลังการผลิตส่งจำหน่ายเพียงพอ แต่ถ้าเป็นตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีน ที่เข้ามาติดต่อจะเป็นตัวแทนนำไปจำหน่ายในจีน ซึ่งทางประเทศจีนต้องการมาก แต่ทุเรียนของที่นี่มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของจีน ทุกวันนี้ก็ทำได้เพียงส่งขายในประเทศ และมาเลเซีย” น.ส.โซเฟีย เจะหวังสวา กล่าว
น.ส.โซเฟีย ยังกล่าวอีกว่า สำหรับรสชาติทุเรียนทอดของทางกลุ่ม ถ้าเทียบกับทางจันทบุรี หรือทางชุมพร ที่มีทุเรียนทอดเหมือนกันจะพบว่า ทุเรียนทอดของทางกลุ่มจะมีรสชาติที่หวานหอมกว่าพื้นที่อื่น เนื่องจากทุเรียนในพื้นที่จะเป็นทุเรียนที่ปลูกกันตามธรรมชาติ ซึ่งจะต่างจากที่อื่นที่มีการปลูกและใช้สารเคมีในการบำรุงต้น รสชาติของทุเรียนก็จะต่างกัน
ส่วนเรื่องรายได้ของทางกลุ่มนั้นก็จะมีการแบ่งเงินปันผลกัน โดยปกติรายได้ของทางกลุ่มจะอยู่ที่เดือนละประมาณ 350,000-400,000 บาท แต่ในปีนี้จะมีปัญหาในเรื่องของทุเรียนมีไม่เพียงพอต่อการผลิต จากเดิมจะใช้ทุเรียนปีละ 200 ตัน แต่คาดว่าปีนี้น่าจะเหลือเพียง 40-50 ตันเท่านั้น ซึ่งเป็นปัญหาจากก่อนหน้านี้มีฝนตกลงมาต่อเนื่อง และทุกเรียนในพื้นที่ส่วนมากจะปลูกกันตามธรรมชาติ ไม่ได้ดูแลเหมือนกับการปลูกทางการเกษตร ทำให้ผลผลิตน้อย
ส่วนปัญหาค่าเงินริงกิตของมาเลเซียที่ลดต่ำลง ก็ส่งผลกระทบต่อการส่งสินค้าไปจำหน่ายในมาเลเซียเหมือนกัน เดิมทางมาเลเซียจะสั่งสำรองสินค้าไว้ แต่ปัจจุบันก็สำรองสินค้าก็ลดน้อยลง จากปัญหาค่าเงิน