ปัตตานี - บิดา และครอบครัวของ “นูร์ฮาซัน อาแว” รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่คาดคิดมาก่อนลูกชายจะเลือกเส้นทางใช้ความรุนแรง เผยที่ผ่านมา ลูกชายพยายามศึกษาจนจบปริญญาตรี ด้วยลำแข้งของตัวเองมาโดยตลอด หวังมีอนาคตที่ดีขึ้น และได้เป็นถึงว่าที่โต๊ะคอเต็บประจำมัสยิดในหมู่บ้าน
วันนี้ (19 ส.ค.) จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายครั้งเป็นการกระทำจากคนในพื้นที่ โดยเฉพาะเยาวชนถูกเลือกเป็นเป้าหมายของการใช้เพื่อก่อความไม่สงบ ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดความเสียหายในชีวิต และทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และยาวนานมา 10 กว่าปี ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบเมื่อไร อย่างไร ถึงแม้หลายฝ่ายที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง มักจะยอมรับว่า ปัญหาสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง จนทำให้สถิติการก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่ลดลงได้ในระดับที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์รุนแรงที่ผ่านมา มักมีเยาวชนในพื้นที่เกี่ยวข้อง และตกเป็นผู้ต้องหา และเสียชีวิตจากการวิสามัญของเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุปะทะในหลายกรณี โดยที่ผู้ปกครองพ่อแม่ ญาติ ไม่เคยรู้มาก่อนถึงพฤติกรรมของลูกว่า ได้เลือกเส้นทางที่ใช้ความรุนแรง สร้างความเสียใจให้แก่ครอบครัวเป็นอย่างมาก บางคนถูกจับกุมดำเนินคดี บางคนก็ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญจนเสียชีวิต
จากกรณีเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560 เวลา 04.30 น. คนร้ายประมาณ 10 คน แต่งกายเลียนแบบเจ้าหน้าที่ ได้ปล้นแย่งชิงรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า รุ่นธันเดอร์ สีบรอนซ์ ทะเบียน บง 8378 นราธิวาส เหตุเกิดในพื้นที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พร้อมกับได้จับตัว 2 สามีภรรยาไว้ และปล่อยตัวในเวลา 14.00 น. โดยไม่ถูกทำร้ายแต่อย่างใด และต่อมา เวลาประมาณ 11.30 น. คนร้ายได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปก่อเหตุปล้นรถยนต์จากเต็นท์รถ “วังโต้ คาร์เซ็นเตอร์” ใน อ.นาทวี จ.สงขลา จำนวน 6 คัน พร้อมจับเจ้าของเต็นท์รถ และพนักงานไปด้วยรวม 4 คน และต่อมาภายหลังได้ใช้อาวุธไม่ทราบชนิด และขนาดยิงใส่จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ นายสหรัฐ แหละหนิ๊ อายุ 19 ปี ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย คือ นายประธานพร นวลละมุน อายุ 23 ปี และไม่ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ประกอบด้วย นายธานีศักดิ์ ยี่จีน อายุ 53 ปี และนายจิรศักดิ์ รัตนพันธ์ อายุ 37 ปี
ต่อมา ได้เกิดการปะทะกันตรงบริเวณด่านตรวจเกาะหม้อแกง เป็นเหตุให้คนร้ายเสียชีวิต 1 ราย คือ นายนูร์อาซัน อาแว อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14/2 บ้านแบรอจะรัง หมู่ 2 ต.ตะลุโบ๊ะ อ.เมือง จ.ปัตตานี และตรวจยึดอาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. ได้ 1 กระบอก พร้อมตรวจพบรถยนต์ที่ถูกปล้นแย่งชิงจากเต็นท์ไปแล้ว จำนวน 6 คัน และรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า รุ่นธันเดอร์ สีบรอนซ์ ทะเบียน บง 8378 นราธิวาส ได้คืนมาอีก 1 คัน หลังจากคนร้ายนำไปจอดทิ้งไว้ในสวนยางพาราของชาวบ้านในพื้นที่ ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
จากเหตุการณ์ปล้นรถยนต์ภายในเต็นท์จำหน่ายรถมือสองของกลุ่มคนร้ายในครั้งนี้ แล้วนำบรรจุระเบิดถังแก๊ส พร้อมบรรจุน้ำมันในแกลลอน แล้วกลับเข้ามาในพื้นที่ จ.ปัตตานี หวังเพื่อก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่ จนเกิดเหตุคาร์บอมบ์ จำนวน 2 คัน และสามารถยิงสกัดรถยนต์ที่บรรจุระเบิดได้อีก 1 คัน และทำการเก็บกู้ระเบิดได้สำเร็จ นับเป็นความสำเร็จที่ทุกฝ่ายได้ร่วมมืออย่างเต็มที่ จึงสามารถลด และป้องกันความสูญเสียได้ไม่น้อย
นายมารูดิง อาแว บิดาของ นายนูร์ฮาซัน อาแว กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า ลูกจะเลือกใช้วิธีรุนแรง เพราะที่ผ่านมาลูกไม่เคยเกเร มุ่งแต่เรียน ทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง และใช้เป็นค่าเล่าเรียนจนจบปริญญาตรี ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่เคยรบกวนพ่อแม่ อยู่ด้วยกัน 5 คน ชาย 3 คน หญิง 2 คน นายนูร์ฮาซัน เป็นบุตรคนที่ 2
ผู้เป็นพ่อ ยังกล่าวอีกว่า ลูกชายชอบเรียนหนังสือทั้งสายศาสนา และสายสามัญ เริ่มแรกหลังจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมศึกษา จนจบศาสนาชั้น 10 และสามัญมัธยมปีที่ 6 จากนั้นได้เข้าเรียนต่อชั้น 11 จนถึงชั้นที่ 13 อาลียะห์ เข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยชุมชน (วชช.) จนจบอนุปริญญา แล้วเข้าไปศึกษาต่อภาคพิเศษมหาวิทยาลัยราชนครินทร์นราธิวาส (มนร.) จนจบในปีที่ผ่านมา
ปัจจุบัน ลูกชายได้ทำงานที่โรงเรียนดารุลมะอาเรฟ ที่สำนักงานคณะกรรมการหลังเก่า ดูแลในเรื่องบัญชี นอกจากนั้น ยังอาสาเป็นครูสมทบที่โรงเรียนเตรียมศึกษา และเป็นครูสอนตาดีกา ที่มัสยิดในหมู่บ้าน ทุกวันศุกร์ลูกชายก็จะขึ้นบรรยายธรรม หรืออ่านคุตบะห์ก่อนละหมาดวันศุกร์ ที่มัสยิดในหมู่บ้าน น้ำเสียงดีจนสามารถโน้มน้าวจิตใจชาวบ้านได้ ทำให้เป็นที่รักของคนในพื้นที่ด้วยดี ไม่คาดคิดมาก่อนว่าลูกชายจะเลือกเส้นทางนี้ ปกติเป็นคนที่เข้ากับเพื่อนได้ดี ชอบอ่อนน้อม ไม่ดุดัน จนชาวบ้านเรียกร้องให้ขึ้นตำแหน่งเป็นคอเต็บประจำมัสยิดในหมู่บ้าน และคาดหวังต่อตัวเขามาก นอกเหนือจากรับทำหน้าที่ดังกล่าวแล้ว นายนูร์ฮาซัน ยังร่วมกับเพื่อนเลี้ยง และรับซื้อขายปลาทับทิม ไปส่งขายต่อที่สะพานปลาด้วย
นายนูร์ฮาซัน เป็นคนไม่ค่อยมีรสนิยม ไม่ชอบแต่งกายสวมใส่กางเกงยีนส์ ชอบนุ่งโสร่ง เสื้อแขนยาว สวมหมวกกะปิเยาะห์ และหมวกแข็งสีดำ ไม่เพียงแค่ไม่ชอบ ยังห้ามไม่ให้น้องสาวสวมแต่งกางเกงยีนส์ โดยเฉพาะหมวกแก๊ป เพราะเขาจะถูกเรียกว่าเป็นครู หรืออุสตาส ซึ่งในสังคม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้าอุสตาส หรือครูสอนศาสนาคนไหนสวมหมวกแก๊ป ก็จะถูกสังคมปฏิเสธทันที และเป็นที่ไม่น่านับถือของคน
แต่สิ่งที่ปรากฏในภาพคือ ลูกชายเสียชีวิตในสภาพที่แต่งกายสวมใส่กางเกงยีนส์สีดำ แล้วสวมกางเกงวอร์มสีดำทับอีกชั้น และยังสวมหมวกแก๊ปสีดำบนหัวอีก จึงทำให้ครอบครัวรับไม่ได้ และคิดว่าลูกชายต้องถูกใครบงการ และบังคับใช้ให้ทำอย่างแน่นอน เพราะจากการสังเกตภายในห้องส่วนตัวของลูกชายได้มีการรวบรวมเอกสารสำคัญ บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย มีเงินสดประมาณ 3 หมื่นบาท บัตร ATM 2 ใบ นาฬิกาข้อมือ แหวนนาค กุญแจ จำนวน 9 ดอก โทรศัพท์ยี่ห้อไอโฟน 1 เครื่อง และเอกสารหนังสืออ่านที่สำคัญถูกเก็บไว้รวมในถุงผ้า เหมือนกับรู้ตัวเองว่ากำลังจะไปไหน แล้วไม่หวังที่จะกลับมาบ้าน จึงทำให้พ่อแม่เสียใจ เพราะไม่เคยรู้มาก่อน รู้อีกทีก็ต่อเมื่อมีคนมาแจ้งข่าวเมื่อช่วงเวลาค่ำของวันที่เกิดเหตุ และทุกอย่างถูกเจ้าหน้าที่ยึดไว้ตรวจสอบหมดแล้ว พร้อมรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟไอ 125 สีดำทอง อีก 1 คัน
โดยในค่ำคืนเดียวกัน ตน กับพี่ชายของนายนูร์ฮาซัน ได้ไปรับศพที่โรงพยาบาลหนองจิก กว่าจะได้นำศพลูกกลับมาบ้านก็ล่วงเวลาไปเกือบเที่ยงคืน และได้ประกอบพิธีทางศาสนาคือ อาบน้ำศพ กาปัน หรือหอศพ จากนั้นพาไปที่มัสยิดใกล้บ้านเพื่อทำละหมาดศพ ก่อนนำไปฝังในสุสานภายในหมู่บ้าน
ส่วนบรรยากาศที่บ้านของนายนูร์ฮาซัน นั้น ได้มีเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง และเพื่อนได้เดินทางมาเยี่ยมเป็นจำนวนมาก เพราะเขายังเป็นคนดีในสายตาของประชาชน เพราะเขาเป็นคนที่ชอบช่วยเหลืองานสังคมมาอย่างยาวนาน มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี จึงทำให้มีผู้คนหลั่งไหลมาเยี่ยมอย่างไม่ขาดสาย
ชั่วโมงสุดท้ายที่เห็นใบหน้า และได้พูดคุยกับลูก ก่อนที่ลูกจะจากพ่อแม่ไปอย่างไม่หวนกลับอีกคือ ในวันพุธ เวลาประมาณ 16.00 น. ลูกชายบอกว่า จะไปรับซื้อปลาลูกค้า แล้วจะไปส่งต่อที่สะพานปลา หลังจากนั้น เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ลูกชายก็ได้กลับมาบ้านอีกครั้ง จนกระทั่งมีคนแจ้งมาว่า ลูกชายเสียชีวิตแล้ว ให้ไปรับศพที่โรงพยาบาลหนองจิก บอกได้ว่าตอนนั้นไม่รู้จะทำไง บอกไม่ถูก และตกใจมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บ้านหลังนี้เปิดร้านค้าของชำ และเปิดเป็นร้านน้ำชาควบคู่กันไปมานานหลายปี ขายดิบขายดี คนในพื้นที่นิยมนั่งดื่มกินเช้าเย็นกลางคืน จนเที่ยงคืนถึงจะปิดร้านเป็นประจำทุกวัน เมื่อปี พ.ศ.2547 ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้รถยนต์กระบะรุ่นดีแมคซ์ ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงสาดเข้าร้านน้ำชา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายคน รวมทั้ง นายมะรูดิง อาแว เจ้าของร้าน และพ่อของนูร์ฮาซัน ถูกยิงเข้าที่น่องขวา หลังจากนั้น ได้เกิดเหตุบริเวณเดียวกัน ถูกคนร้ายใช้รถยนต์กระบะเป็นพาหนะใช้อาวุธปืนสงครามระดมยิงพี่ชายเจ้าของร้าน แต่กระสุนไม่ผ่านร่างกายจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด หลังจากนั้น ก็ยังถูกมือมืดคุกคามมาตลอด แต่อาศัยความอดทนไม่โต้ตอบจนถึงทุกวันนี้