xs
xsm
sm
md
lg

ชวนลุงตู่มาใช้ “ด่านนอก” และ “อาณาจักรเอ็มบีไอกรุ๊ป” เป็นปฏิรูปตำรวจ-ปฏิรูปสื่อ / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
--------------------------------------------------------------------------------
 
 
สัปดาห์นี้หยุดเรื่อง “โจรใต้ ไว้สักหนึ่งสัปดาห์ แต่ไม่ได้หมายความว่ากำลังจะยุติบทบาทในการแบ่งแยกดินแดน แต่เห็นว่าตั้งแต่เดือนรอมฎอนเป็นต้นมา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เริ่ม “คลำถูกเป้า” สามารถควบคุมพื้นที่จนทำให้ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนปฏิบัติการก่อการร้ายได้ยากขึ้น และการเปิด “เกมรุกกลับ จนสามารถเด็ดชีพเหล่าโจรใต้เพิ่มขึ้น ซึ่งหาก กอ.รมน.ทำได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่จะได้คือ ความมั่นใจจากคนในพื้นที่ และข่าวสารที่เป็นประโยชน์ก็จะเป็นของ กอ.รมน.
 
จับให้จริง ตรวจค้นให้จริง กลางคืนมีแผนปฏิบัติการที่เป็นจริง และสิ่งสำคัญเมื่อมีการต่อสู้ต้องเป็นการ “วิสามัญที่เป็นจริง ไม่ใช่ “จับมายิงทิ้งต่อให้ กสม.มี “คุณป้ามหาภัย อีกกี่คนก็ไม่ต้องหวั่นไหว เพราะประชาชนจะเป็น “เกราะกำบังตัว” ที่ดีที่สุด
 
ดังนั้น สัปดาห์นี้จะเขียนถึง “ภัยแทรกซ้อน” และการ “ปฏิรูปตำรวจ” กับการ “ปฏิรูปสื่อ” ในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งก็คือที่บ้านด่านนอก เขตเทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ในอนาคตกำลังจะเป็นพื้นที่ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” แต่ในปัจจุบันเมืองชายแดนตรงนี้กลายเป็น “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” ของนายทุนชาวมาเลเซียที่มีนามว่า
 
“เตียว วุย ฮวด”
 
อันเป็นนายเตียว วุย ฮวด ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ
 
“อาณาจักรเอ็มบีไอกรุ๊ป”
 
ซึ่งล่าสุด พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ป.ป.ส. เปิดเผยว่า ถูกเจ้าหน้าที่ประเทศมาเลเซียจับกุมในข้อหา “พัวพันการค้ายาเสพติด” ที่กลายเป็นข่าวครึกโครมมานานนั่นคือ “กลุ่มท้าวไซยซะนะ” ชาวลาว และ “อุสมาน สะแลแม” พ่อค้ายาเสพติดชาว จ.นราธิวาส
 
นอกจาก นายเตียว วุย ฮวด ที่เข้ามากว้านซื้อที่ดินฝั่งไทยที่ชายแดนหลายร้อยไร่สร้างอาณาจักรบันเทิงแบบครบวงจร ด้วยวิธีการให้คนไทยเป็น “นอมินี ในการถือหุ้นแล้ว เมืองชายแดนแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยโรงแรมและย่านบันเทิงต่างๆ อีกมากมาย ทั้งที่เป็นของคนไทย และของคนต่างชาติ
 
และแน่นอนว่า ธุรกิจที่ทำเงินให้แก่นายทุนเจ้าของกิจการที่นั่นคือ “การค้าผู้หญิงและ “การค้ายาเสพติดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวยังเมืองชายแดนแห่งนี่ หลักๆ คือ ชาวมาเลเซีย ทั้งที่เป็นชาวจีน มุสลิม และแขกดำเชื้อสายอินเดีย และบังกลาเทศ
 
ส่วนหญิงที่ทำหน้าที่ “ขายบริการ” ส่วนใหญ่จะเป็น “หญิงต่างด้าว” เช่น จากจีนแผ่นดินใหญ่ จีนฮ่อ พม่า ลาว และชาวเขาเผ่าต่างๆ ซึ่งถูก “ขบวนการค้ามนุษย์” นำมาขายบริการในเมืองเล็กๆ แห่งนี้กว่า 10,000 คน ย้ำเขียนไม่ผิดครับกว่า 10,000 คนจริงๆ
 
คนต่างด้าวส่วนหนึ่งใช้หนังสือเดินทางเข้าเมืองถูกต้อง โดยมี “ขบวนการค้ามนุษย์” นำหญิงต่างด้าวเหล่านี้ไปจดทะเบียนต่อจัดหางานจังหวัด เพื่อขออนุญาตทำงาน “แม่บ้านซึ่งจัดหางานจังหวัดก็เป็นหน่วยงานที่ “ซื่อบริสุทธิ์” เพราะไม่ได้ตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติว่า ทำไมเมืองเล็กๆ แห่งนี้ถึงต้องมีแม่บ้านมากขนาดนั้น เขาเอาไปกวาดขยะคนละครึ่งเมตรต่อคนต่อวันหรืออย่างไร
 
หลังจากที่มีใบอนุญาตทำงานแม่บ้านเป็น “ยันต์กันผีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงต่างด้าวเหล่านี้ก็จะประกอบอาชีพที่ต้องเองถนัด นั่นคือ “ขายบริการ” ซึ่งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่รู้และเห็น เพราะเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจท้องที่ ตรวจคนเข้าเมือง แรงงาน ปกครอง หน่วยงานความมั่นคง ทหาร สันติบาล ฯลฯ ต่าง “เดินกันขวักไขว่” ในพื้นที่
 
การที่เป็น “คนต่างด้าว” ที่มาอาศัยอยู่ด้วยการขายบริการกว่า 10,000 คน ต้องมีการการคุ้มครองแน่นอน โดยเฉพาะต้องมีการ “จ่ายส่วย” ซึ่งก็จะมี “นายหน้า” ซึ่งจะอ้างว่าเป็นตัวแทนของหน่วยต่างๆ เพื่อเรียกเก็บ “ค่าคุ้มครอง” เป็นรายหัว
 
แหล่งข่าวในพื้นที่กล่าวว่า ในกรณีต่างด้าวที่เข้ามาทำงานแบบแอบแฝงต้องจ่ายหนักที่สุด กล่าวคือ หัวละ 3,000 บาทต่อเดือน ส่วนหญิงสาวไทยจ่ายหัวละแค่ 1,000 บาทต่อเดือน และที่สำคัญในแต่ละเดือนจะมี “คนเก็บส่วย” ให้กว่า 15 หน่วยงาน นี่ยังไม่รวม “นักบิน” ที่โฉบเฉี่ยวเข้าไป “กินเหยื่อ” เป็นครั้งเป็นคราว ซึ่งธุรกิจขายบริการของที่นี่เขาจึงต้องทำหน้าที่ “เลี้ยงลูกเพื่อน” ให้ดีกว่าลูกตัวเองเสียด้วยซ้ำ
 
เมืองชายแดนแห่งนี้จึงเป็นเมืองที่มีผลประโยชน์มายมาย โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งล่าสุด ถูก “สื่อมาเลเซีย” กว่า 10 ค่าย นำเอาเรื่องการเรียกเก็บเงินผู้ผ่านเข้า-ออกคนละ 2 เหรียญริงกิต หรือประมาณ 20 บาท หากใครไม่ใส่เงินในหนังสือเดินทางก็จะถูกกลั่นแกล้ง ซึ่งล่าสุด พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.ตรวจคนเข้าเมือง ได้สั่งเด้งนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรแล้ว 3 นาย ชั้นประทวน 1 นาย เพื่อเซ่น “ข่าวฉาว” ไปแล้ว
 
นอกจะมีเรื่องส่วยล่วงเวลา ส่วยหญิงต่างด้าว ซึ่งเป็นเรื่องของตรวจคนเข้าเมืองโดยตรง เมืองนี้ยังมีผลประโยชน์จากธุรกิจ “ของเถื่อน” ประดามี เช่น เป็นเส้นทางการค้าน้ำมันเถื่อน เหล้าและบุหรี่หนีภาษี รวมถึงสินค้าอื่นๆ ที่มีต้นทางจากประเทศมาเลเซีย แม้กระทั้ง “รถหรู” ก็ใช้เส้นทางนี้ในการลักลอบนำเข้า
 
และที่สำคัญเมืองชายแดนแห่งนี้ยังเป็น “ชุมทางยาเสพติด เป็นแหล่งที่มีชาวมาเลเซียจำนวนมากเดินทางเข้าไปเพื่อการเสพยาโดยเฉพาะ โดยในยามค่ำคืนจะมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเป็นผู้เฝ้าเก็บผลประโยชน์ โดยการแบ่งพื้นที่กันเป็นล็อกๆ แถมมีการเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์จากการขายยาเสพติดและขายบริการด้วย
 
ดังนั้น ถ้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะดำเนินการกับ “ภัยแทรกซ้อน ที่มีการอ้างว่าเป็นมีการ “เอื้อประโยชน์” ให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ชายแดนใต้นั้น
 
พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องส่งเจ้าหน้าที่ลงไป “กวาดล้าง” เสียให้สิ้น เพราะคนส่วนหนึ่งที่อยู่ในวงจรของเถื่อนมาจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
 
ขณะเดียวกัน ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จะจัดระเบียบสังคมก็ต้องมาจัดระเบียบที่เมืองนี้ เพราะนี่คือ “ต้นตอ” ของความไร้ระเบียบที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของมนุษย์ และของแผ่นดิน
 
สุดท้ายถ้าจะมีการปฏิรูปตำรวจ และต้องการเห็นตำรวจเรียกเก็บผลประโยชน์อย่างไร พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธานปฏิรูปตำรวจต้องนำคณะปฏิรูปตำรวจ เดินทางไปดูงานที่ อ.สะเดา จ.สงขลา เพราะจะได้เห็นถึงส่วยของทุกหน่วยงานมีอยู่ครบที่นี่
 
ที่สำคัญพื้นที่นี้น่าจะเป็น “ส่วยต้นแบบ” ของประเทศไทยได้ เพราะ อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นเมืองชายแดนที่ “อื้อฉาว ที่สุดในเรื่องของ “ส่วยสาอากร ตั้งแต่เมื่อ 60 ปีก่อนต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
 
แม้แต่ตำรวจที่มาเป็น “ผกก.สภ.สะเดา” แต่ละคนก็ต้องเป็น “คนพิเศษที่ต้องผ่านการ “คัดสรร มาอย่างดีจากเจ้ากรมปทุมวัน ซึ่งก็เป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย
 
และจงอย่าได้แปลกใจที่ คสช.ต้องการที่จะ “ปฏิรูปสื่อ” เพื่อจัดระเบียบให้สื่อรายงานข่าวอย่างมีคุณภาพ เพราะวันนี้ท่ามกลาง “มลพิษ” ที่สังคมได้รับท่ามกลางความเสียหายที่เกิดขึ้นจากนายทุนต่างชาติ ยังมีผู้แอบอ้างว่าเป็น “สื่อมวลชน” ในพื้นที่ทำหน้าที่ “รับหน้าเสื่อ” เคลียร์เรื่องราวให้สื่อหลายๆ สำนักที่เกาะติดกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติให้ยุติการทำหน้าที่ “สุนัขเฝ้าบ้าน”
 
เพื่อที่จะได้อยู่ในกลุ่ม “หมาหางด้วน” ด้วยกัน
 
กำลังโหลดความคิดเห็น