นครศรีธรรมราช - สภาทนายความภาค 8 ออกโรงป้องวิชาชีพทนายความ ยืนยัน 2 ทนายตัวจริงว่าความคดีจนสำเร็จแบบไม่ได้รับค่าทนาย แต่หลังคดีจบ “พิสิษฐ์ สัมมาเลิศ” เข้ามาสวมรอยทำสัญญายอมความรับเงิน 5 ล้าน จากฝ่ายจำเลย หนุนครอบครัวผู้เสียหายเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
วันนี้ (4 ก.ค.) ที่สำนักงานสภาทนายความภาค 8 นครศรีธรรมราช นายลือชา เปี่ยมสุวรรณ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารสภาทนายความภาค 8 ได้เปิดแถลงข้อเท็จจริงในคดีที่ นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ที่อ้างว่าเป็นทนายความ และเกิดกรณีฉ้อโกงเงินค่าเสียหาย จำนวน 5 ล้านบาท ซึ่งประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และการนำเสนอในทำนองว่า “ทนายแสบ” ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของทนายความโดยรวมมีความเสื่อมเสีย ซึ่งข้อเท็จจริงสภาทนายความภาค 8 มีทนายปฏิบัติงานอยู่ถึงกว่า 2 หมื่นคน
นายลือชา เปี่ยมสุวรรณ กรรมการบริหารสภาทนายความภาค 8 เปิดเผยว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มีการทำคดี 2 ส่วน คือ คดีอาญา มี ทนายวรรณรัตน์ นาคสุวรรณ เป็นผู้ว่าความ และคดีแพ่ง คือ ทนายสุชญา ขำเกิด เป็นผู้ว่าความ คดีทั้งสองแล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยคดีแพ่ง ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าสินไหมวงเงิน 4.7 ล้านบาท ตามคำฟ้องของโจทก์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ทนายทั้งสองไม่ได้ค่าตอบแทนจากการว่าความทั้งสองคดี และได้เงียบหายไป มาปรากฏอีกครั้งกลับมี นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ เข้ามาเป็นทนายความ และไม่ได้เป็นผู้ว่าความมาตั้งแต่ต้น และปรากฏไปมีหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความกันขึ้น โดยมีผู้ที่ให้สัญญาในหนังสือฉบับนี้ คือ น.ส.ภัทรวดี สวัสดี เป็นผู้รับผิดชอบการชดใช้ในคดีแพ่ง ซึ่งเราไม่ทราบว่า เป็นผู้ที่ได้รับมอบอำนาจมาจากจำเลยจริงหรือไม่ และทราบว่า นายพิสิษฐ์ ต้องคดีเป็นบุคคลล้มละลาย จึงไม่แน่ใจในสถานะของการเป็นทนายความอยู่หรือไม่
นายลือชา ยังระบุด้วยว่า ทนายผู้ว่าความทั้งแพ่ง และอาญาทั้งสองคน ได้ปฏิบัติงานช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังจนคดีบรรลุถึงที่สุด และยืนยันว่า ไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ดังนั้น สภาทนายความภาค 8 จึงต้องนำข้อเท็จจริงนี้มาเปิดเผย เพื่อปกป้องวิชาชีพทนายความ ที่มีผู้ปฏิบัติงานอยู่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นจำนวนมาก แต่บุคคลคนเดียวมาสร้างความเสื่อมเสีย ดังนั้น ในส่วนของการดำเนินการเรื่องของสภาทนายความแห่งประเทศไทยนั้น จะเป็นไปอย่างเต็มที่ ส่วนกรณีการฟ้องร้องเรียกเงินคืนให้แก่ผู้เสียหายนั้น สภาทนายความภาค 8 สนับสนุนอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน