xs
xsm
sm
md
lg

ทุกข์หนัก! สาวใหญ่สุราษฎร์ฯ ร้องสื่อถูกค่าปรับเงินกู้มหาโหด 6 เดือนเกือบครึ่งแสนจากเงินต้น 6.8 หมื่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
สุราษฎร์ธานี - สาวใหญ่ชาวสวน จ.สุราษฎร์ธานี ร้องสื่อ ทุกข์หนักถูกเรียกปรับผิดนัดชำระล่าช้า 6 เดือน เป็นเงิน 48,000 บาท ทั้งที่เงินต้น 68,000 บาท เข้าแจ้งความสรุปคดีมีมูลสั่งฟ้อง 8 กรรมการต่ออัยการจังหวัดไชยา ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559 แต่เรื่องยังไม่คืบ

วันนี้ (26 พ.ค.) นางวันเพ็ญ อักษรสม อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 152 ม.2 ต.สมอทอง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี อาชีพเกษตรกรชาวสวนยาง ได้เปิดเผยด้วยใบหน้าที่ตกอยู่ในความทุกข์ ว่า ตนเป็นสมาชิกของกลุ่มเลี้ยงปลา หมู่ที่ 2.ต.สมอทอง มาประมาณ 5 ปี โดยทาง อบต.สมอทอง ได้อนุมัติงบประมาณสนับสนุนให้เงินแก่กลุ่ม และมีเงินจากสมาชิกที่ลงหุ้นได้ทำการปล่อยเงินกู้ให้แก่สมาชิกภายในหมู่บ้าน โดยตนเองได้ทำการขอกู้เงินมา จำนวน 4 สัญญา โดยใช้ชื่อตนเองและชื่อพ่อสามี

ประกอบด้วย สัญญา 1 กู้เงินสามัญใช้ชื่อตนเอง จำนวน 30,000 บาท ทำสัญญาส่งเงินต้นเดือนละ 3,000 บาท สัญญาที่ 2 กู้เงินสามัญในชื่อของนายเชย จำนวน 27,000 บาท ทำสัญญาส่งเงินต้นเดือนละ 3,000 บาท สัญญาที่ 3 เงินกู้ฉุกเฉิน 6,000 บาท หากไม่พร้อมส่งเงินต้นก็ยังไม่ต้องส่ง แต่ให้ส่งค่าดอกเบี้ย 160 บาทต่อเดือน และสัญญาที่ 4 เงินกู้เลี้ยงปลา จำนวน 5,000 บาท มีกำหนด 3 เดือนจ่ายคืนกลุ่ม และสามารถกู้กลับมาได้ โดยเสียดอกเบี้ย 250 บาท
 

 
ปกติตนเองก็ได้ดำเนินการส่งเงินตามสัญญามาอย่างต่อเนื่อง ต่อมา ยางพารามีราคาตกต่ำทำให้การเงินขาดสภาพคล่องจึงได้รวบยอดเงินกู้ทั้ง 5 บัญชีที่มียอดรวมทั้งหมด 68,000 บาท มาเป็นชื่อตนเอง และให้ นายอรัญศักดิ์ อักษรสม อายุ 45 ปี สามีซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.2 เป็นผู้ค้ำประกันเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2558 เพื่อที่จะนำยอดหนี้ไปขอกู้ ธ.ก.ส.นำเงินมาปิดเงินกู้นอกระบบ

แต่เมื่อได้เงินมาทำการปิดบัญชีปรากฏว่า ไม่เป็นไปตามที่ตนคิด ทางคณะกรรมการกลุ่มได้ระบุว่า ตนยังปิดบัญชีไม่ได้ยังมีหนี้ค่าปรับที่ผิดนัดการชำระหนี้สะสมจำนวนทั้งสิ้นอีก 48,000 บาท ตนจึงขอรายละเอียดการชำระหนี้ของตนและยอดหนี้ค่าปรับ จึงทราบว่าทางกลุ่มได้คิดค่าปรับในอัตรา 100 บาทต่อวัน ทำให้เงินต้นที่กู้แต่ละบัญชีมียอดปรับเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งตนเห็นว่าการคิดค่าปรับดังกล่าวไม่เป็นธรรม และเป็นการซ้ำเติมสมาชิกที่เดือดร้อนอยู่แล้วให้เดือดร้อนมากขึ้น

จึงได้ขอความเป็นธรรมต่อทางอำเภอเพื่อให้ช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องเงินค่าปรับแต่ไม่เป็นผล จึงได้ร้องเรียนไปหลายที่ ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าเป็นการสมยอมกันระหว่างผู้กู้กับผู้ให้กู้ประกอบ ซึ่งตนได้ต่อสู้เรื่องนี้มากว่า 1 ปี ไม่เป็นผล จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ท่าชนะ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2559 เพื่อดำเนินคดีต่อคณะกรรมการบริหารกลุ่ม จำนวน 8 คน ทั้งที่ไม่อยากที่จะแจ้งความ
 

 
ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนอยากให้สื่อนำไปเป็นกรณีตัวอย่างไม่ให้กลุ่มต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นมาปล่อยเงินกู้ให้แก่สมาชิก แล้วไปกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมากันเองเรียกรับผลประโยชน์ จากการปล่อยกู้เกินกฎหมายกำหนดที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และอยากให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายอำเภอท้องที่ จะต้องให้ความสนใจความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ไร้ทางต่อสู้

“ซึ่งเรื่องนี้สามีตนก็ได้รับผลกระทบจากการร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ จนถูกกลั่นแกล้งปลดจากตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และตนเองก็ถูกต่อว่า และมองว่าร้องเรียนเรื่องไม่เป็นเรื่อง สร้างความวุ่นวายให้แก่สังคม แต่ตนเพียงต้องการความยุติธรรมคืนมาเท่านั้น ไม่ต้องการไปใส่ร้ายหรือป้ายสีใคร แต่เมื่อไม่มีใครเข้าใจก็จำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดี ทั้งที่คนในหมู่บ้านก็รู้จักรักใคร่นับถือกันเปรียบเหมือนญาติ” นางวันเพ็ญ กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.ทักษิณ ศิริโภคพัฒน์ ผกก.สภ.ท่าชนะ กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ทางพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความร้องทุกข์เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2559 จึงได้สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ด้านเอกสาร พยานวัตถุ และพยานบุคคล ได้สรุปสำนวนว่าคดีดังกล่าวมีมูลความผิดจึงได้ออกหมายเรียกคณะกรรมการกลุ่มเลี้ยงปลาหมู่ที่ 2 ต.สมอทอง มารับทราบข้อกล่าวหา ในข้อหากำหนดจะเอาหรือรับเอากำไรอื่นนอกจากดอกเบี้ย จนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่ได้อันสมควรตามเงื่อนไขแห่งการกู้ยืม และคิดเอาดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ และได้มาซึ่งสิทธิในการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราใช้สิทธินั้นหรือพยามยามจะถือประโยชน์แห่งสิทธินั้น (เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา) ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 3 และ 4
 

 
ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้สรุปมีคำสั่งฟ้องคณะกรรมการกลุ่มผู้เลี้ยงปลาหมู่ที่ 2 ต.สมอทอง ต่อพนักงานอัยการจังหวัดไชยา เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2559 ซึ่งขณะนี้คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารนาของพนักงานอัยการ ที่จะมีคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องต่อศาลจังหวัดไชยา

“พร้อมกันนี้ ได้เน้นย้ำว่ากล่าวเตือนบุคคล หรือกลุ่มต่างๆ ให้ระวังการเรียกเก็บดอกเบี้ย และอื่นๆ จากลูกหนี้จะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ผู้ฝ่าฝืนจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ที่ระบุว่า บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืม โดยมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (1) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ (2) กำหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจำนวนเงินหรือเรื่องอื่นๆ ไว้ในหลักฐานการกู้ยืมเงิน หรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้เพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนด หรือ ดังนั้นหากมีผู้พบเห็นมีกระทำดังกล่าวให้แจ้งหรือร้องทุกข์มายังเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” พ.ต.อ.ทักษิณ กล่าวทิ้งท้าย

ในขณะที่ น.ส.ยุพดี สุขแสง หน.กลุ่มอำนวยความยุติธรรมและนิติกร และ นายอรรถพล เซี่ยงฉิน นิติกร ยุติธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้กล่าวว่า การทำสัญญาระหว่างบุคคลโดยเฉพาะสัญญาเงินกู้จะต้องดูรายละเอียด เนื่องจากมีกฎหมาย จำนวน 2 ฉบับเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา โดยมิให้เจ้าหนี้เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินละร้อยละ 15 ต่อปีหากฝ่าฝืนจะมีโทษทางอาญา
 

 
ในส่วนของเบี้ยปรับจะมี พ.ร.บ.ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม จะบัญญัติไว้ว่าห้ามมิให้เจ้าหนี้ทำสัญญาก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ลูกหนี้ หากมีข้อตกลงใดในสัญญาที่ก่อให้เห็นว่าเกิดความไม่เป็นธรรม เช่น การทำสัญญาลูกหนี้ผิดนัดจะมีการปรับวันละ 500 หรือ 1,000 บาทจะเห็นว่าเป็นสัญญาไม่เป็นธรรม สัญญานี้ก็ไม่สามารถบังคับได้ ลูกหนี้ก็สามารถปฏิเสธไม่ทำตามข้อตกลงได้

ดังนั้น จึงฝากกล่าวเตือนทั้ง 2 ฝ่ายคู่สัญญา หรือกลุ่มต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาแล้วปล่อยเงินกู้ว่า ต้องดูข้อกฎหมาย การทำสัญญาต่างๆ จะต้องไม่เกินข้อกฎหมายที่กำหนด หากฝ่าฝืนก็จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560

ส่วน น.ส.กรรณิการ์ ชอินทรวงศ์ ยุติธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า หากพบผู้ที่ไม่ทำตามขั้นตอนของกฎหมายก็ได้ให้คำปรึกษาแนะนำหากเกิดปัญหาขึ้นก็จะเรียกมาไกล่เกลี่ยกันก่อน หากพบว่าทำเกินกฎหมายที่กำหนดก็จะแนะว่าทำไม่ได้ ในกรณีปล่อยกู้หากเกินกฎหมายที่กำหนดก็จะแนะนำให้ลดลงเหลือร้อยละ 15 ต่อปีตามกฎหมาย หากมีการหลีกเลี่ยงจากดอกเบี้ยมาเป็นค่าปรับแทนนั้น เป็นการทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และผิดกฎหมาย
 

 
ด้าน นายพายุ สายมือ ประธานกลุ่มผู้เลี้ยงปลา พร้อมด้วย นายสมบูรณ์ ช่วยรักษา เหรัญญิกและกรรมการกลุ่มจำนวนหนึ่ง ได้เข้าให้ปากคำเพิ่มเติมต่อเจ้าหน้าที่ที่อำเภอท่าชนะเช่นเดียวกัน แต่ได้มีการแยกห้องสอบ และบันทึกถ้อยคำ

โดย นายพายุ สายมือ ประธานกลุ่มผู้เลี้ยงปลา ได้กล่าวว่า กลุ่มจัดตั้งขึ้นมาหลายปีแล้วโดยมีการสนับสนุนเงินจาก อบต.สมอทอง มาปล่อยให้สมาชิกก็ จำนวน 2 ครั้งๆ ละ 100,000 บาท แต่ล่าสุด เงินจำนวนดังกล่าวได้ส่งมอบคืนให้แก่ทาง อบต.แล้ว และในปัจจุบันทางกลุ่มยังมีเงินหมุนเวียนอยู่ประมาณ 1,700,000 บาทเศษ โดยสมาชิก และคณะกรรมการได้ออกกฎในการขอกู้อัตราดอกเบี้ยและค่าปรับการผิดชำละวันละ 100 บาทต่อสัญญา ไม่ว่าสัญญานั้นจะมีเงินอยู่เท่าไรก็ตาม

ด้าน นายสมบูรณ์ ช่วยรักษา เหรัญญิกกลุ่ม กล่าวว่า ในปัจจุบัน นางวันเพ็ญ ได้ปลดหนี้หมดแล้ว และได้หมดสภาพการเป็นสมาชิกไปแล้ว ส่วนค่าปรับต่างๆ นั้นทางกลุ่มได้ดำเนินการถูกต้อง เนื่องจากเป็นมติของกลุ่ม ทางกลุ่มคิดค่าปรับวันละ 100 บาทนั้นถือว่าถูกกว่ากลุ่มอื่นๆ ที่กลุ่มอื่นมีการเรียกปรับการชำระล่าช้าวันละ 500 บาทก็มี ในส่วนกฎหมายการเรียกเก็บอัตราดอกปีเงินกู้ร้อยละ 15 ต่อปีนั้น ไม่เคยรู้เรื่องและยังไม่ได้ศึกษา
 
กำลังโหลดความคิดเห็น