xs
xsm
sm
md
lg

สอบเพิ่มผู้ต้องหาขยายผลหาขบวนการนำพา ด้าน ตม.เผยตรวจครั้งแรกไม่พบสิ่งผิดปกติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ตร.ภูเก็ต สอบเพิ่ม 2 ผู้ต้องหาใช้พาสปอร์ตปลอม หวังเดินทางไปประเทศที่ 3 ยอมรับมีขบวนการนำพา ติดต่อผ่านเอเยนต์ดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งขบวนการปลอมพาสปอร์ต ขบวนการชุบตัว ระบุสอบเบื้องต้นยังไม่พบคนไทยเกี่ยวข้อง ขณะ ตม.สนามบินยันก่อนเดินทางมีการดำเนินการถูกต้องทุกขั้นตอน ผลตรวจด้วยคอมพิวเตอร์สแกนไม่พบสิ่งผิดปกติ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (21 พ.ค.) ที่ห้องประชุม กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.จิระศักดิ์ เสียมศักดิ์ ผกก.สาคู พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ ผกก.สภ.ป่าตอง พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง รอง ผกก.สภ.ป่าตอง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.สาคู เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ป่าตอง เจ้าหน้าที่สืบสวนภูธรจังหวัดภูเก็ต ร่วมกันแถลงผลการติดตามจับกุม นาย SANDEEP SINGH อายุ 30 ปี สัญชาติอินเดีย และ นาย RAJ KUMAR อายุ 36 ปี สัญชาติอินเดีย ซึ่งหลบหนีออกจากสถานีตำรวจภูธรสาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สาคู นำตัวมาสอบสวนในข้อหาใช้พาสปอร์ตปลอม และเตรียมนำตัวส่งฟ้องศาล จ.ภูเก็ต แต่ผู้ต้องหาได้ขอตัวเข้าห้องน้ำ และสูบบุหรี่ หลังจากนั้น ได้วิ่งหลบหนีออกจากสถานีตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมได้เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา

เกี่ยวกับเรื่อง พล.ต.ต.ธีระพล กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ตได้รับตัวชายทั้ง 2 คน เนื่องจากทางการเกาหลีปฏิเสธที่จะให้เข้าเมือง จึงได้ส่งกลับมาที่ด่าน ตม.ที่เป็นต้นทาง ซึ่งก็คือ ด่านตรวจคนเข้าเมืองสนามบินภูเก็ต เมื่อรับตัวกลับมาทางเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจสอบพบว่าทั้ง 2 คนได้ใช้พาสปอร์ตปลอมในการเดินทาง จึงได้นำตัวส่ง สภ.สาคู เพื่อนำเนินคดีในข้อหาใช้พาสปอร์ตปลอม ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สาคู จะนำตัวไปฝากขังปรากฏว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ได้วิ่งหลบหนีออกจากสถานีตำรวจในขณะที่เจ้าหน้าที่เผลอ หลังเกิดเหตุตนก็ได้สั่งหารให้มีการติดตามจับกุมผู้ต้องทั้ง 2 รายทันที จนกระทั่งได้รับแจ้งว่ามีแท็กซี่มิเตอร์รับผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไปส่งที่ป่าตอง จึงได้ออกติดตามค้นหาในพื้นที่ป่าตอง หลังจากนั้น ก็ได้รับแจ้งจากประชาชนที่พบเห็นชายทั้ง 2 คน เดินอยู่ในพื้นที่ป่าตอง จึงประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบ ซึ่งในส่วนของผู้ต้องหามีการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเพื่ออำพรางตัวเอง แต่สุดท้ายก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าตอง และ สภ.สาคู ติดตามจับกุมตัวได้ในที่สุด เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 21 พ.ค. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม หลังจับกุมทางเจ้าหน้าที่ได้นำตัวมาสอบสวนในเบื้องต้น โดยทั้ง 2 คน ยอมรับสารภาพว่าเดินทางมาจากประเทศอินเดีย และต้องการไปทำงานที่ประเทศแคนาดา ซึ่งการเดินทางเข้ามาภูเก็ต มีเอเยนต์ในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง รวมทั้งการทำหนังสือเดินทางปลอม รวมทั้งเรื่องที่พัก และการเดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการเดินทางเข้ามาประเทศไทยครั้งแรกนั้นเป็นการเดินทางเข้ามาโดยใช้พาสปอร์ตจริง โดยเข้ามาเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ผ่านเข้ามาทางสุวรรณภูมิ หลังจากนั้น อยู่ในประเทศไทยระยะหนึ่งเพื่อรอหนังสือเดินทางปลอมซึ่งนัดส่งมอบกันที่ จ.ภูเก็ต หลังจากนั้น ทั้ง 2 คนได้ใช้พาสปอร์ตจริงเดินทางออกไปประเทศมาเลเซีย เพื่อฟอกตัว และเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งซึ่งเข้ามาทางจังหวัดสตูล ซึ่งครั้งนี้ได้มีการใช้พาสปอร์ตที่ทำขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อเดิมแต่เปลี่ยนสัญชาติจากอินเดียไปเป็นโปรตุเกส โดยทั้ง 2 รายเดินทางกลับเข้ามาภูเก็ตเมื่อประมาณปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา พักอาศัยในโรงแรม 2 แห่ง ที่ป่าตอง และเดินทางออกไปเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งทางการเกาหลีปฏิเสธในการเข้าเมือง และส่งกลับมาที่จังหวัดภูเก็ตในที่สุด ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้พาสปอร์ตปลอมในการเดินทางเพื่อเข้าไปประเทศแคนาดานั้น คาดว่าทางแคนาดาเองมีความเข้มงวดในการตรวจสอบโดยเฉพาะในส่วนของคนอินเดีย จึงได้มีการทำหนังสือเดินทางปลอมขึ้นมาและเปลี่ยนไปใช้สัญชาติโปรตุเกสแทน

พล.ต.ต.ธีระพล กล่าวต่อไปว่า จากการสอบสวนในเบื้องต้น ยังไม่พบเบาะแสใดๆ ที่บงชี้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คนเกี่ยวข้องต่อขบวนการการก่อการร้าย แต่สิ่งที่ทางตำรวจจะต้องสืบสวนขยายผลคือ เรื่องของการทำพาสปอร์ตปลอมว่ามีส่วนเกี่ยวข้องต่อคนไทยหรือไม่อย่างไร และมีใครเข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง แม้ว่าบ้านเราไม่ใช่แหล่งผลิตพาสปอร์ตปลอม แต่เราเป็นแหล่งส่งมอบสินค้า ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จะต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งการสอบสวนจะต้องสอบทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อขบวนการที่เกิดขึ้นทั้งหมดในการนำผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ไปยังประเทศที่ 3 ส่วนกรณีการตรวจพาสปอร์ตของ ตม.ที่ครั้งแรกไม่พบว่าเป็นพาสปอร์ตปลอมนั้นเรื่องนี้ต้องสอบถามทาง ตม.ว่ามีขั้นตอนการตรวจสอบอย่างไร ส่วนกรณีคนที่นำพาสปอร์ตมาส่งนั้นในเบื้องตนตรวจสอบข้อมูลไม่พบว่ามีคนไทยที่เกี่ยวข้อง คาดว่าน่าจะเป็นคนต่างชาติที่เป็นผู้ดำเนินการ

ส่วนกรณีการหลบหนีออกจากสถานีตำรวจภูธรสาคู นั้น คนร้ายได้ฉวยโอกาสในช่วงที่เจ้าหน้าที่เผล ขอไปเข้าห้องน้ำ และวิ่งหลบหนีออกไป ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ออกติดตามทันทีเช่นกัน ซึ่งหลังจากหลบหนีออกจากโรงพักก็ได้ไปหลบอยู่ที่ป่าตอง สาเหตุที่ทั้ง 2 คนไปในพื้นที่ป่าตองก็เนื่องจากมีความเคยชินต่อพื้นที่ดังกล่าวมากกว่าที่อื่น เพราะระหว่างที่รอเดินทางต่อไปประเทศที่ 3 ทั้ง 2 คนเคยเข้าพักโรงแรมที่ป่าตอง เคยไปในที่ที่เคยไป และทั้ง 2 คนไม่กล้าที่จะเข้าพักโรงแรมทำให้ต้องเดินระเห็จอยู่ในป่าตอง จนถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ในที่สุด

ส่วนพาสปอร์ตที่ตรวจยึดไว้จะต้องมีการส่งไปตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องของตราประทับว่าเป็นการประทับจริงหรือปลอม ซึ่งในเบื้องต้น จะต้องนำตัวผู้ต้องหาไปสอบเพิ่มเติมเพื่อหาเครือข่ายที่เชื่อมโยงต่อไป ส่วนกรณีการทำพาสปอร์ตปลอม และการดำเนินการทั้งหมดเพื่อเดินทางไปยังประเทศที่ 3 นั้น จากการสอบถามผู้ต้องหาให้การว่า ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการคนละ 2,000,000 รูปี หรือประมาณ 1 ล้านกว่าบาทถ้าเป็นเงินไทย โดยเป็นค่าดำเนินการทุกอย่าง รวมถึงเรื่องของการเดินทางที่พัก และอื่นๆ

ขณะที่ พ.ต.อ.ศุภโชค หยงสตาร์ ผกก.ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานภูเก็ต กล่าวถึงกรณีที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ปฏิเสธการเข้าเมืองของชาวต่างชาติ 2 ราย ซึ่งเดินทางออกจาก จ.ภูเก็ต และส่งตัวกลับประเทศต้นทาง ว่า ในการส่งกลับชาวต่างชาติ 2 รายดังกล่าวนั้น ในเบื้องต้น ทางเกาหลีไม่ได้มีการแจ้งสาเหตุที่ชัดเจนถึงการส่งตัวกลับ แต่เป็นลักษณะของการปฏิเสธการเข้าเมือง และคาดว่าน่าจะมีการใช้พาสปอร์ตปลอม หลังจากด่านตรวจคนเข้าเมืองฯ รับตัวชาวต่างชาติ 2 รายดังกล่าวกลับมาก็ได้นำพาสปอร์ตมาตรวจสอบอย่างละเอียด และพบว่าเป็นพาสปอร์ตปลอม จึงได้มีการดำเนินคดีในข้อหามีและใช้หนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ปลอม ก่อนส่งตัวให้กับทาง สภ.สาคู ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

ส่วนที่มีข้อสงสัยว่าทำไมด่านตรวจฯ จึงตรวจไม่พบความผิดปกติตั้งแต่การเดินทางออกไป ซึ่ง พ.ต.อ.ศุภโชค กล่าวว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในเบื้องต้น พบว่า ในส่วนของเจ้าหน้าที่ได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนถูกต้องทุกอย่าง โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการตรวจสแกนเล่มหนังสือเดินทาง แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ หรือมีการเตือนแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียดว่า เกิดความผิดปกติขึ้น ณ จุดใด แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ปัจจุบันการปลอมพาสปอร์ตค่อนข้างทำได้แนบเนียนมาก หลังจากนี้ก็จะต้องเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบชาวเอเชียใต้ที่เดินทางเข้าออกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะไดนำข้อมูลดังกล่าวมาเป็นกรณีศึกษา เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดตามมา
กำลังโหลดความคิดเห็น