xs
xsm
sm
md
lg

จาก “คาร์บอมบ์บิ๊กซีปัตตานี” ถึง “ไปป์บอมบ์หน้าโรงละครแห่งชาติ” ใครว่าไม่เกี่ยวกับ BRN ยกมือขึ้น?! / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
------------------------------------------------------------------------
 
 
เหตุการณ์ “คาร์บอมบ์ห้างบิ๊กซี ที่กลางเมืองปัตตานี แม้จะผ่านไปแล้วราว 10 วัน แต่ยังมีประเด็นที่น่าติดตามอยู่หลายประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรก ผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวอย่างน้อย 2 คน คนหนึ่งคือผู้นำศาสนาที่เป็นถึง “อิหม่าม” แถมยังเป็น “อุสตาซ” ประจำมัสยิดบ้านเกาะเปาะ อีกคนหนึ่งเป็น “แนวร่วม” ขบวนการบีอาร์เอ็น โคออดิเน็ต ที่เข้าสู่ “โครงการพาคนกลับบ้าน” เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา
 
ในประเด็นของ “อิหม่าม” ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการคาร์บอมบ์ที่ห้างบิ๊กซีกลางปัตตานีในครั้งนี้ คือ ผู้ที่ประจำอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งก็คือมัสยิดอันเป็นสถานที่ที่ใช้ติดต่อ หรือล่อลวงให้ นายนุสน ขจรคำ พ่อค้าขายผ้าใบกันสาดจาก อ.เมืองยะลา ไปติดตั้งให้ที่มัสยิด ซึ่งเมื่อไปถึง นายสุไฮมี สะมะแอ ผู้เป็น “แนวร่วม” ที่อยู่ใน “โครงการพาคนกลับบ้าน” พร้อมพรรคพวกได้รออยู่แล้ว และได้ช่วยกันสังหารเหยื่อท่ามกลางสายตาของคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งในจำนวนนั้นมี “นายก อบต.เกาะเปาะ” รวมอยู่ด้วย
 
แม้ว่าในการสอบสวนของตำรวจ และทหารที่ท้ายที่สุด “นายก อบต.เกาะเปาะ” กลับไม่มีส่วนเกี่ยวต่อคดีการก่อวินาศกรรมห้างบิ๊กซีที่ปัตตานีครั้งนั้นก็ตาม แต่ “นายก อบต.เกาะเปาะ” เป็นผู้หนึ่งที่ “เห็นเหตุการณ์” ที่เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนั้น
 
และจากการสืบสวนยังพบว่า ในการนัดพบปะระหว่าง นายสุไฮมี กับทีมงานมีการพบปะกันใน “มัสยิดอีกแห่งหนึ่ง” ในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อการวางแผนทำคาร์บอมบ์ที่ห้างบิ๊กซีสาขาปัตตานี โดยนายสุไฮมี รับว่าใช้เวลาเพียง 11 วันในการวางแผนเพื่อก่อวินาศกรรมห้างบิ๊กซีในครั้งนี้
 
ประเด็นที่น่าสนใจคือ มีผู้นำศาสนา และครูสอนศาสนา หรืออุสตาซ “มากกว่า 1 คน” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อคาร์บอมบ์ ที่ห้างบิ๊กซีปัตตานี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ณ วันนี้ “ผู้นำศาสนาในพื้นที่” ยังเป็นกำลังสำคัญยิ่งของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีส่วนร่วมในการก่อวินาศกรรมที่เกิดขึ้นด้วย
 
ส่วนใครต่อใครจะบอกว่า เรื่องการก่อการร้าย เรื่องการแบ่งแยกดินแดนไม่เกี่ยวกับ “ศาสนา” ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งคำกล่าวกับข้อเท็จจริงย่อมเดินสวนทางกันเสมอ สำหรับการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
ประเด็นที่สอง นายสุไฮมี ก่อนหน้าที่จะลงมือปฏิบัติการคือ “แนวร่วม” หรือ “สมาชิก”  ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็นฯ ที่ถูกนำตัวกลับมาเข้าร่วมในโครงการพาคนกลับบ้าน ซึ่งสุดท้ายแล้วการ “กลับบ้าน” ของนายสุไฮมี เป็นเพียงแผนลวงของบีอาร์เอ็นฯ ในการส่งแนวร่วมกลับมา “ฟอกตัว” เพื่อเปลี่ยนหน้าที่จากผู้ปฏิบัติมาเป็น “ผู้สั่งการ” ซี่งกว่าที่เจ้าของโครงการพาคนกลับบ้านอย่าง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะพบความจริงก็ต้องเกือบจะใช้ชีวิตคนจำนวนหนึ่งในการสังเวย “ความผิดพลาด” ที่เกิดขึ้นที่ห้างบิ๊กซีปัตตานี
 
และในจำนวนคนกว่า 4,000 คน ที่อยู่ในโครงการพาคนกลับบ้าน ซึ่งกระจายกันอยู่ใน 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อยนั้น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รวมถึง ศอ.บต.คือผู้สนับสนุนโครงการ ต่างหวังจะให้คนในพื้นที่มั่นใจอย่างไรว่า จะไม่มีแนวร่วมที่ถูกบีอาร์เอ็นฯ ส่งมาเพื่อ “ต้มตุ๋น” หน่วยงานความมั่นคงร่วมอยู่ด้วย
 
ความจริงควรเห็นด้วยต่อโครงการพาคนกลับบ้านว่าเป็นโครงการที่ดี เพราะถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถควบคุมให้คนที่พากลับบ้านอยู่ใน “กรอบกติกา” ของเจ้าหน้าที่ได้ และต้องมีความชัดเจนตั้งแต่ “ต้นทาง ในการกลับบ้านเพื่อต้องการ “ล้างมือ จากบีอาร์เอ็นอย่างแท้จริง ด้วยเหตุผลที่ชัดเจน หรือด้วยการ “บังคับ ก็ไม่ว่ากัน แต่เมื่อกลับบ้านมาแล้วต้อง “อยู่ในสายตาและการ “ควบคุม” ตามกติกา รวมทั้งต้องทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งให้กับหน่วยงานความมั่นคง
 
ไม่ใช่เพื่อหวังผลกันเพียง “ตัวเลข หรือ “ปริมาณ” เพื่อที่จะให้สอดคล้องต่อ “รายงานว่าสถานการณ์ดีขึ้น การก่อการร้ายลดลง หรือการ “สร้างภาพเมื่อพาคนกลับบ้านไม่ได้ก็นำเอาแนวร่วมที่ออกมาทำงานให้แก่เจ้าหน้าที่บางหน่วยในพื้นที่กว่า 4-5 ปีแล้วมามอบตัว เพื่อสร้างภาพให้เห็นว่ามีคนเข้าโครงการพาคนกลับบ้าน ซึ่งเป็นการ “ตบตาคนทั้งประเทศ รวมทั้ง “นาย ของตนเองด้วย อย่างนี้ต่อให้มีการพาคนกลับบ้านทุกวัน ก็ไม่ได้ทำให้ “ไฟใต้ลดการโชนแสง ลงแต่อย่างใด
 
เห็นด้วยกับ พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กลาโหม และผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ที่มีนโยบายให้มีการ “ปัดฝุ่น โครงการพาคนกลับบ้านแบบให้มีความรัดกุม และรอบคอบที่สุด อย่าให้บีอาร์เอ็นฯ ได้ใช้ “ช่องว่าง ที่เปิดกว้างแบบง่ายๆ ในการส่งคนของบีอาร์เอ็น “สอดไส้” เข้ามาในโครงการนี้ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น
 
อย่าลืมว่าในอดีตที่ผ่านมา บีอาร์เอ็นเคย “แหกตา” เราง่ายๆ ด้วยการส่งเยาวชนที่อายุครบเกณฑ์ทหารสมัครเป็น “ทหารเกณฑ์” เพื่อทำการฝึกอาวุธ เมื่อฝึกเสร็จก็ “ขโมยอาวุธ” พร้อมปฏิบัติการ “หนีทหาร” กลับไปเป็น “กองกำลัง” ของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ
 
โครงการพาคนกลับบ้านคงจะ “ยกเลิก” ไม่ได้ในเร็ววัน เพราะเป็นหนึ่งในหลายๆ โครงการของกองทัพ โดยเฉพาะของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่เริ่มอย่างจริงจังในยุคที่ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 แต่ถ้าตรวจสอบว่าสุดท้ายแล้วโครงการนี้ “เป็นปัญหา” มากกว่าเป็นการแก้ปัญหา กองทัพก็ต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร เพราะวันนี้มีเสียงของคนกลุ่มหนึ่งที่เป็น “คนไทยพุทธ ต่างไม่เห็นด้วยต่อโครงการนี้
 
ประเด็นที่สาม การเกิดเหตุในพื้นที่ ต.เกาะเปาะ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการวางแผนตั้งแต่เริ่มต้น มีการปล้นรถยนต์ มีการฆ่าเจ้าของรถยนต์ มีการประกอบระเบิดเพื่อใช้เป็นคาร์บอมบ์นั้น แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ตรงนี้เป็น “พื้นที่อำนาจรัฐล้มเหลว” และเป็นพื้นที่ซึ่งบีอาร์เอ็นฯ มีความเข้มแข็งทางการเมือง แม้ว่าสุดท้ายแล้วการคลี่คลายคดีที่เกิดขึ้นที่เบาะแสข่าวทั้งหมดจามาจาก “ผู้นำท้องที่” แต่ก็เป็นการ “เค้นคอ” มากกว่า “สำนึก” ของการมีหน้าที่ของผู้นำท้องที่
 
วันนี้ข้อผิดพลาดของฝ่ายความมั่นคงที่เกิดขึ้นคือ การลดจำนวน “หมู่บ้านสีแดง” ลงกว่าครึ่งหนึ่งจากในอดีต เพียงเพื่อต้องการที่จะให้ “นาย” ที่ “ส่วนกลาง” และ “สังคมไทย” เห็นว่าการแก้ปัญหาไฟใต้ในรอบ 3 ปีของ คสช.ได้ผล สถานการณ์ดีขึ้นที่หมู่บ้านสีแดงถูกทำลายแล้ว ซึ่งนี่คือ “ความเท็จ” เพื่อต้องการเพียง “สร้างภาพ” เท่านั้น
 
ในขณะที่บีอาร์เอ็นฯ ยังมีการเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ใน 3 จังหวัด 4 อำเภอของ จ.สงขลา ยกตัวอย่าง จ.ปัตตานี ให้เห็นคร่าวๆ ว่าวันนี้บีอาร์เอ็นฯ แบ่งพื้นที่ จ.ปัตตานีเป็น 2 เขตงาน เขตงานที่ 1 คือ อ.เมือง อ.ยะหริ่ง อ.หนองจิก อ.ยะรัง อ.โคกโพธิ์ อ.แม่ลาน และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ส่วนอำเภอที่เหลือคือ เขตงานที่ 2 ของ จ.ปัตตานี
 
บีอาร์เอ็นฯ สลายโครงสร้างเก่าในพื้นที่ด้วยการจัดตั้ง “ผู้นำศาสนา” และ “เปอร์มูดอรุ่นใหม่” หมู่บ้านละ 8 คน เพื่อสร้าง “ความสับสน ให้แก่เจ้าหน้าที่ ในขณะที่ “คนรุ่นเก่า ก็ยังทำหน้าที่อยู่ แต่มีการ “สับเปลี่ยนหน้าที่” ทำตัวให้ “กลมกลืนกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เห็นว่ามีการ “สลายกำลัง” แล้ว
 
ยุทธศาสตร์ใน จ.ปัตตานี ของบีอาร์เอ็นฯ ได้มอบให้ “ผู้นำศาสนานำหน้า เปอร์มูดอตามหลัง” ซึ่งต่างจากยุทธศาสตร์ใน จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส ที่บีอาร์เอ็นฯ ใช้เปอร์มูดอ หรือ “กองกำลังนำหน้า ผู้นำศาสนา” ตามหลัง
 
การสร้างมวลชนของบีอาร์เอ็นฯ คือการหา “มวลชน” หรือ “สมาชิกรุ่นใหม่” เข้าสู้ขบวนการให้ได้เขตงานละ 600 คนต่อปี ด้วยวิธีการ “วาตอน หรือการปลูกฝังขั้นต้นให้มีความรักแผ่นดินเกิดคือ “ปาตอนี ส่วนสมาชิกเก่าก็ยังคงเคลื่อนไหวตามแผนการขับเคลื่อนของบีอาร์เอ็นฯ ต่อไป
 
ในด้านยุทธการของบีอาร์เอ็นฯ ใน จ.ปัตตานี กลับคือ 1.กระจายกำลังหา “เป้าหมาย” ในการก่อเหตุ เพื่อดึงกำลังของเจ้าหน้าที่รัฐให้กระจายกันออกไป 2.เพื่อการศึกษา “ยุทธวิธีของเจ้าหน้าที่” ในการรับมือต่อเหตุการณ์ที่ถูกสร้างขึ้น 3.ก่อเหตุเป็นระยะๆ เพื่อ “ทดสอบประสิทธิภาพของเปอร์มูดอ ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพื้นที่ ส่วนการก่อเหตุใหญ่ๆ ยังคงเป็นฝีมือของ “คอมมานโด นอกพื้นที่
 
สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่หน่วยงานความมั่นคงต้องหาข้อเท็จจริง ต้องให้ทุกหน่วยงานเข้าใจในแผนการร้ายของบีอาร์เอ็นฯ ให้ตรงกัน และต้องแก้ปัญหาร่วมกัน เมื่อบีอาร์เอ็นฯ คือ “ศัตรูหมายเลข 1” ของแผ่นดินปลายด้ามขวาน เหตุไฉนที่หน่วยงานความมั่นคงจึงยัง “ปฏิเสธ” หรือพยายามบอกว่า “บีอาร์เอ็นไม่ใช่ศัตรู มาโดยตลอด
 
ถ้ารัฐบาล ถ้า คสช. และถ้ากองทัพมั่นใจว่า “ไอโอซี”  เข้าใจปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และยืนอยู่ฝ่ายเรา อีกทั้งถ้าเชื่อว่า “ยูเอ็น” ก็เข้าใจ และเป็นพวกเรา รวมถึงเห็นว่าบีอาร์เอ็นฯ เป็นผู้ร้าย แล้วยังจะ “ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ” ไปทำไมอีกเล่า
 
เพราะสิ่งที่บีอาร์เอ็นฯ ซึ่งเป็น “องค์กรลับ” กลัวที่สุดคือ “กลัวการถูกเปิดโปง หรือเป็นการเปิดเผยความจริง จนทำให้จากองค์กรลับกลับกลายมาสู่ “องค์กรที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สว่าง เพราะการก่อการร้าย การฆ่าผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมากในรอบ 13 ปี เชื่อเถอะไม่มีองค์กรไหนที่สังคมจะ “เห็นชอบ” และให้การ “ส่งเสริม” ได้ตลอดไป
 
แม้แต่ปฏิบัติการ “ไปป์บอมบ์” ที่เกิดขึ้นแล้ว 2 แห่งกลางกรุงเทพฯ ก่อนหน้าบริเวณหน้ากองสลากเก่า และล่าสุด ที่หน้าโรงละครแห่งชาติ นั่นก็อาจจะเป็นฝีมือของบีอาร์เอ็นฯ ที่ต้องการ “เบี่ยงประเด็น” คาร์บอมบ์ที่บิ๊กซีปัตตานี เพราะทุกสื่อต่างรายงานข่าวเปิดโปงถึงเรื่องของบีอาร์เอ็นฯ จนกำลังทำให้จากองค์กรลับกำลังกลับกลายเป็นองค์กรที่กำลังถูก “แก้ผ้าล่อนจ้อน” ซึ่งเป็นสิ่งที่บีอาร์เอ็นฯ กลัว และไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
 
ข่าวไปป์บอมบ์ที่หน้าโรงละครแห่งชาติ จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อ “กลบข่าว” ที่หน้าห้างบิ๊กซีปัตตานี เพราะบีอารเอ็นฯ เชื่อว่ารัฐบาลต้องปฏิเสธอย่างหัวเด็ดตีนขาดว่า ไปป์บอมบ์ที่กรุงเทพฯ เป็นเรื่อง “การเมือง” ไม่ใช่เรื่อง “ไฟใต้” อย่างแน่นอน?! ?!
 
กำลังโหลดความคิดเห็น