xs
xsm
sm
md
lg

คาร์บอมบ์บิ๊กซีปัตตานีชี้ชัด..ทางเดียวที่จะดับไฟใต้ต้องใช้ “ปฏิบัติการทางทหาร” ให้ได้ชัยชนะ / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
----------------------------------------------------------------------------------------


 
คงจะเหมือนทุกๆ ครั้งที่เกิดความสูญเสียในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จาก “สงครามประชาชน ที่มีสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็นฯ เป็นผู้ปฏิบัติการ นั่นคือ ขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ล้มตาย และเสียหายในทรัพย์สิน ซึ่งในครั้งนี้มีห้างสรรพสินค้า “บิ๊กซี เป็นเป้าหมาย และมีประชาชนทุก “ชาติพันธุ์ ที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง
 
ครั้งนี้ก็เหมือนกับ “คาร์บอมบ์” หลายๆ ครั้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย นั่นคือ คนร้าย หรือ “โจรใต้” ใช้วิธี “มาเร็ว เคลมเร็ว”
 
กล่าวคือ ปล้นชิงรถจาก นายนุสน ขจรคำ พ่อค้ากันสาดผ้าใบชาว จ.ยะลา ด้วยการโทรศัพท์ให้เขาไปติดตั้งกันสาดผ้าใบที่มัสยิดแห่งหนึ่งใน อ.หนองจิก จ.ปัตตานี หลังจากนั้น จึงได้ฆ่าชิงรถยนต์คันดังกล่าวไปประกอบเป็นคาร์บอมบ์ ก่อนที่จะขับไปจอดไว้ที่ลาดจอดรถ ซึ่งเป็น “ทางออก ของห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาปัตตานี
 
เมื่อก่อนการปล้นชิงรถยนต์เพื่อนำไปประกอบคาร์บอมบ์ต้องใช้เวลาหลายวัน โดยต้องนำไปประกอบระเบิดในสถานที่ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว หลังประกอบเสร็จจึงขับไปจอดไว้ใน “พื้นที่สังหาร” ที่มีการกำหนดเป้าหมายไว้ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีเวลาในการติดตาม และตั้งด่านเพื่อตรวจจับรถยนต์ที่เจ้าของได้ทำการแจ้งหายไว้
 
แต่วันนี้ “ยุทธวิธี” ของโจรใต้มีการปรับเปลี่ยนให้เร็วขึ้น มีการประกอบระเบิดแสวงเครื่องไว้ล่วงหน้าเป็น “ระเบิดสำเร็จรูป” เมื่อปล้นชิงรถมาได้ก็ยำระเบิดที่สำเร็จรูปใส่เข้าไปภายในรถยนต์คันดังกล่าวก็จะเป็นคาร์บอมบ์ในทันที และคาร์บอมบ์ก็จะถูกขับเคลื่อนไปยังพื้นที่สังหารโดยไม่รอช้า
 

 
ซึ่ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ผู้รับผิดชอบในการ “ดับไฟใต้” จะต้องกลับไปคิดทบทวนว่า จะปฏิบัติการอย่างไรในการป้องกันวิธีมาเร็ว เคลมเร็ว ของขบวนการบีอาร์เอ็น เพราะที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งที่โจรใต้ประสบความสำเร็จในการใช้คาร์บอมบ์สร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้น ต่างใช้วิธีการแบบมาเร็ว เคลมเร็ว ทั้งสิ้น
 
ข้อสังเกตต่อไปของความสำเร็จในปฏิบัติการคาร์บอมบ์ที่ห้างบิ๊กซี ปัตตานี ครั้งนี้ “ถังแก๊ส” ยังเป็นอุปกรณ์ในการทำระเบิดแสวงเครื่องที่สำคัญ เพราะเป็นถังเหล็ก และมีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ถังน้ำหนักขนาดไหน เช่น 5 กิโลฯ 15 กิโลฯ หรือ 60 กิโลกรัม
 
ที่ผ่านมา ในรอบ 13 ปีของไฟใต้ ถังแก๊สได้สร้างความเสียหายอย่างมาก ทั้งในเรื่องของชีวิต และทรัพย์สิน จนในที่สุด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องประกาศการควบคุมถังแก๊สแบบ “ถังเหล็ก” โดยให้ใช้ถังแก๊สที่เป็น “ถังคอมโพสิท แทน ส่วนใครที่ครอบครองถังแก๊สเหล็กจะมีโทษทั้งจำคุก และทั้งปรับ
 
แต่คาร์บอมบ์ที่ห้างบิ๊กซีปัตตานีเมื่อบ่ายวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ชัดเจนว่านโยบายในการควบคุมถังแก๊สเหล็กของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถือว่า “ล้มเหลว” สิ้นเชิง เพราะโจรใต้ยังคงใช้ถังแก๊สในการทำคาร์บอมบ์อย่างได้ผล
 
เนื่องจากในกลุ่มของบริษัทผู้ค้าแก๊ส 3 บริษัท กลับมีเพียง “ปตท.” เท่านั้นที่ยอมปฏิบัติตามกฎของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ส่วนอีก 2 บริษัทไม่ยอมทำตาม และยังขนส่งถังแก๊สเหล็กเข้าไปจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เหมือนเดิม
 
การที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ไม่สามารถที่จะ “บังคับ” ผู้ค้าแก๊สทั้ง 2 บริษัททำตามคำสั่งได้ ก็เท่ากับว่าคำสั่งนี้ก็คือการ “สั่งขี้มูก” ที่เอาผิดได้แต่กับประชาชน แต่ไม่สามารถเอาผิดกับ “ผู้ค้า” หรือ “นักลงทุน” ได้แต่อย่างใด
 
ความจริงต้องมีการเอาผิดต่อเจ้าของถังแก๊สที่ทำตัวอยู่ “เหนือกฎหมาย ให้เป็นผู้รับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น นั่นจึงจะสาสม แต่สุดท้ายแล้ว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะต้องกลับไปคิดใหม่ว่าจะทำการ “ควบคุมถังแก๊ส” ที่เป็นอุปกรณ์ในการประกอบระเบิดแสวงเครื่องอย่างไร จึงจะลดความสูญเสียลงไปได้
 

 
และที่ต้องถามดังๆ ด้วยก็คือ กว่าที่คาร์บอมบ์คันนี้จะถูกขับเข้าไปยังพื้นที่สังหารหน้าห้างบิ๊กซีปัตตานีได้ รถยนต์คันนี้ต้อง “ผ่านจุดตรวจ” กี่แห่ง มีวิธีการตรวจอย่างไร มีการตรวจบัตร หรือถ่ายภาพบัตรประชาชนของคนขับไว้หรือไม่ หรือเป็นการ “สุ่มตรวจ ตามความรู้สึกของเจ้าหน้าที่ จึงทำให้กลายเป็น “ช่องโหว่ ให้คาร์บอมบ์ผ่านจุดตรวจเข้าไปสู่เป้าหมายในการก่อเหตุได้อย่างสะดวก
 
ในส่วนของห้างบิ๊กซี มีหลักฐานจากกล้วงวงจรปิดที่ชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ “รปภ.” ตรงจุดตรวจ “ไม่ได้ใส่ใจ ต่อการตรวจรถยนต์เข้า-ออกเท่าที่ควร เพราะคนร้ายที่เป็นคนขับรถยื่น “บัตรประชาชนของนายนุสน ผู้เป็นเจ้าของรถให้แก่ รปภ. โดยที่ รปภ.ไม่ได้ตรวจสอบว่า บัตรกับคนขับเป็นคนเดียวกันหรือไม่ ซึ่งหากจุดตรวจจุดนี้มีความเข้มงวด คาร์บอมบ์คันนี้อาจจะไม่สามารถหลุดเข้าไปในพื้นที่สังหารดังกล่าวได้
 
โดยข้อเท็จจริง “การข่าว” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ามีการ “สำเหนียก” ล่วงหน้าแล้วว่า ใน 10 วันก่อนถึง “เดือนรอมฎอน” จะมีการก่อเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่จากการวิเคราะห์สถานการณ์เชื่อว่า เป้าหมายของบีอาร์เอ็นฯ คือ เจ้าหน้าที่ ฐานปฏิบัติการ และสถานที่ราชการอื่นๆ ส่วนห้างบิ๊กซีน่าจะไม่ได้อยู่ในเป้าหมายของการวิเคราะห์สถานการณ์
 
“รู้ล่วงหน้าตั้งแต่พบว่า มีการระเบิดเสาไฟฟ้าที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และการแขวนป้ายผ้าโจมตีกองทัพตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า นั่นเป็นการส่งสัญญาณให้แก่แนวร่วมในพื้นที่ของบีอาร์เอ็น และมีการสั่งการป้องกันในพื้นที่ล่อแหลมไปก่อนหน้านี้แล้ว”  นายทหารระดับสูงผู้หนึ่งเป็นผู้กล่าว แต่สุดท้ายก็ป้องกันไม่ได้ 
 
ทำไมจึงเชื่อว่า “ห้างบิ๊กซีไม่เป็นเป้าหมาย” ตรงนี้มีความสำคัญมาก 
 
โดยเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่าห้างบิ๊กซีไม่ใช่เป้าหมายของบีอาร์เอ็นฯ มาจาก 2 ส่วนด้วยกันคือ
 
1.การบริหารจัดการของห้างบิ๊กซีปัตตานีในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยมีความเข้มแข็ง และรัดกุมมาโดยตลอด มีทั้ง “ผู้นำศาสนา” “ผู้นำท้องถิ่น-ท้องที่” และ “ผู้มีอิทธิพล” รวมถึง “ผู้กว้างขวาง” ในวงการขบวนการแบ่งแยกดินแดนให้ความดูแลมาโดยตลอด จนมั่นใจว่าห้างบิ๊กซีแห่งนี้น่าจะไม่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์
 
2.ฝ่าย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังวิเคราะห์ด้วยความเชื่อมั่นว่า บิ๊กซีเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีผู้เข้าไปใช้บริหารเป็น “มุสลิม จำนวนมาก ถ้ามีการก่อวินาศกรรมห้างบิ๊กซี ผู้ที่รับเคราะห์ไม่ว่าจะตาย หรือบาดเจ็บก็คือ “คนมุสลิม”
 
และเชื่อมั่นต่อไปว่า ถ้าบีอาร์เอ็นสร้างความสูญเสีย บาดเจ็บ หรือล้มตายกับมุสลิมด้วยกัน จะทำให้ “งานการเมือง ของบีอาร์เอ็นฯ ได้รับผลกระทบ ซึ่งบีอาร์เอ็นฯ จะไม่ทำลายงานมวลชนที่เป็นหัวใจสำคัญของการแบ่งแยกดินแดน เพราะ กอ.รมน.เชื่อมั่นว่าถ้าเด็ก สตรี และคนชราตายด้วย จะส่งผลให้บีอาร์เอ็นฯ เดินไปสู่ “ความพ่ายแพ้” เร็วขึ้น เพราะ “มวลชน จะปฏิเสธต่อการกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมเยี่ยงนั้น
 
แต่สิ่งหนึ่งที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ลืมวิเคราะห์” ก็คือ วันนี้ “งานการเมือง” ของบีอาร์เอ็นฯ ในพื้นที่มีความเข้มแข็งมากกว่าเดิม ซึ่งการปลูกฝังความคิดสู่คนในพื้นที่ สามารถปลูกฝังได้ถึงขั้นที่ทำให้คนในพื้นที่ยอมรับในความรุนแรง ยอมรับในความสูญเสียที่แม้เป็นคนมุสลิม โดยที่ไม่เห็นว่าเป็นความผิดของบีอาร์เอ็นฯ และจะไม่ว่ากล่าวอะไรเลยด้วยหากการก่อเหตุของบีอาร์เอ็นฯ จะส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สิน รวมถึงการดำเนินวิถีชีวิตในด้านต่างๆ
 
เช่นที่ผ่านมา บีอาร์เอ็นฯ ก่อวินาศกรรมเส้นทางรถไฟ เสา และสายส่งไฟฟ้าแรงสูงจนเกิดความเดือดร้อน ทั้งในเรื่องคมนาคม และในเรื่องการไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่คนในพื้นที่ไม่ได้ออกมาต่อต้านหรือ “ก่นด่า” บีอาร์เอ็นฯ แม้แต่น้อย โดยกลับกันมีแต่กระแสเสียงไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานในการ “ซ่อมสร้าง” สิ่งที่เสียหายล่าช้า
 
อันสอดคล้องต่อ “คำให้การ” ของ “แกนนำ” คนหนึ่งที่เคยให้การต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงว่า เขาไม่รู้สึกเสียใจต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อพี่น้องมุสลิมในพื้นที่จากการปฏิบัติการของเขา เพราะเมื่อมี “สงคราม ก็ย่อมต้องมีการ “สูญเสีย” เป็นธรรมดา การไปสู่เป้าหมายคือ “เอกราช จำเป็นที่จะต้องมีความสูญเสีย
 
ถ้าเป็นจริงโดยที่คนในพื้นที่ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยอมรับสภาพของความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ เพื่อการไปสู่ “เป้าหมาย” ที่บีอาร์เอ็นฯ ปลูกฝังมาอย่างยาวนาน ปัญหานี้จึงคือ “ปัญหาใหญ่” ที่รัฐบาลจะต้องทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ของ “สงครามประชาชน” เสียใหม่  เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขให้ได้
 
สิ่งที่ต้องตรวจสอบคือ เป็นเพราะ “งานการเมือง ของบีอาร์เอ็นฯ เข้มแข็งมากขึ้นใช่หรือไม่ บีอาร์เอ็นฯ จึงกล้าที่จะเปิดเกมรุกทาง “การทหาร ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า หลังจากที่ “ดูลเลาะ แวมะนอ ขึ้นมาเป็นผู้นำเบอร์ 1 คนใหม่ของบีอาร์เอ็นฯ มีการเปิดเกมรุกทางทหารในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยสร้างความสูญเสียให้แก่เรามากยิ่งขึ้น
 
เพราะหากพื้นที่ไหนที่การเมืองไม่เข้มแข็ง บีอาร์เอ็นฯ จะไม่กำหนดเป็น “พื้นที่การก่อเหตุ” เพราะสิ่งที่บีอาร์เอ็นฯ ตระหนักที่สุดในการก่อเหตุร้ายแต่ละครั้ง ไม่ใช่เพียงให้เหยื่อเสียชีวิต หรือทำให้การก่อวินาศกรรมสำเร็จ
 
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “ความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติการ” จะต้อง “ออกจากพื้นที่ปฏิบัติการ” อย่างปลอดภัย โดยที่ไม่ถูกจับกุม นี่คือหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการก่อการร้ายของบีอาร์เอ็นฯ ที่สร้างความมั่นใจให้แก่สมาชิกของขบวนการนี้
 
ดังนั้น ระเบิดที่ห้างบิ๊กซีปัตตานีเมื่อบ่ายวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา จึงมี “โจทย์” หลายข้อที่ให้ฝ่ายความมั่นคงได้นำไป “ขบคิด” เพื่อให้สามารถ “ตอบโจทย์” ได้อย่างชัดเจน เพราะการวิเคราะห์สถานการณ์ และการวางน้ำหนักที่ “ผิดพลาด” ใช่หรือไม่ ที่นำไปสู่สถานการณ์อัน “บอบซ้ำ” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
ทางเดียวเท่านั้นสำหรับความสำเร็จในการ “ดับไฟใต้” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า นั่นคือ ต้องใช้ “ปฏิบัติการทางทหาร” ให้สามารถได้รับชัยชนะให้ได้ เพราะเรามีความพร้อมกว่าในทุกด้านเมื่อเทียบกับบีอาร์เอ็นฯ ยกเว้นเราต้องการทำสงครามยืดเยื้อ เพราะไม่ต้องการชัยชนะ
 
นี่จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนในประเทศจะต้องติดตาม เนื่องจาก “เงินงบประมาณ” ที่ใช้ในการทำ “สงครามประชาชน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ของกองทัพ แต่เป็น “ภาษี” ของคนไทยทุกคน
 

กำลังโหลดความคิดเห็น