สุราษฎร์ธานี - ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมสุราษฎร์ธานีเขต 1 ยืนยันในเบื้องต้น โรงเรียนบ้านห้วยโศก ไม่ได้จ่ายเงินสดแก่นักเรียนยากจนที่ผ่านหลักเกณฑ์ใน 3 ปีที่ผ่านมาจริง มียอดเงินรวม 168,000 บาท แต่ทางผู้บริหารสามารถนำเงินไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแทนได้ พร้อมระบุให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย คาดใช้เวลา 15 วัน จะสรุปผลการสอบส่งให้ทางศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดต่อไป
จากรณีครูประจำชั้นโรงเรียนในพื้นที่การศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ยื่นหนังสือร้องไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ กรณีผู้อำนวยการของโรงเรียนไม่จ่ายเงินทุนการศึกษาให้แก่เด็กยากจน แต่เรื่องไม่คืบ จนตัดสินใจนำเด็กนักเรียนเข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อตัวแทนสภาทนายความภาค 8 และ สมาคมนักข่าวจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเร่งติดตามช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจนที่กำลังลังเดือดร้อนหนัก
ล่าสุด เช้าวันนี้ (3 พ.ค.) นายชุมพล ศรีสังข์ ผู้อำนวยการสำนักงานพื้นที่เขตการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 และปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์แก่ผู้สื่อข่าว ถึงความคืบหน้ากรณีการร้องเรียนดังกล่าว ว่า จากกรณีการร้องเรียนผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยโศก หมู่ที่ 8 ต.ช้างขวา อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ในเรื่องพฤติกรรมการทุจริตการปรับปรุงโครงการก่อสร้างอาคารโรงเรียน และเรื่อง ยักยอกเงินการศึกษานักเรียนยากจน ที่ร้องผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานีนั้น ขณะนี้ได้รับหนังสือที่ส่งมาจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาแล้ว
และเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้มอบหมายให้ นายธนาวุธ รักษ์หนู รองผู้อำนวยการฯ นายภิญโญ ไม้ทองงาม นิติกร และนายชูศักดิ์ แก้วรุ่ง ฝ่ายแผน ลงพื้นที่สืบหาข้อเท็จจริง โดยเด็กนักเรียนที่ยากจนที่จะได้รับการจัดสรรรับเงินนั้น ทางครอบครัวจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 40,000 บาทต่อปี และผ่านตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ สพฐ.กำหนด นักเรียนในโรงเรียนบ้านห้วยโศก มีนักเรียนผ่านหลักเกณฑ์ได้รับการจัดสรรรับเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน ตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยม ในปีการศึกษา 2557 จำนวน 41 คน เป็นเงิน จำนวน 63,000 บาท ในปีการศึกษา 2558 จำนวน 43 คน เป็นเงิน จำนวน 68,000 บาท และในปีการศึกษา 2559 จำนวน 38 คน เป็นเงิน จำนวน 37,000 บาท รวมทั้ง 3 ปี เป็นยอดเงิน จำนวน 168,000 บาท
โดยข้อมูลในเบื้องต้นพบว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทางโรงเรียนไม่ได้จ่ายเงินสดให้แก่เด็กนักเรียนจริง แต่ทางโรงเรียนก็สามารถนำไปแปรเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้โดยไม่ต้องให้เงินสดแก่เด็กนักเรียน แต่จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของเด็ก และให้เด็กนักเรียนได้รับประโยชน์มากที่สุด ส่วนผลการสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะตรวจสอบ หากพบว่ามีข้อมูลความผิด หรือว่าใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตามระเบียบทางราชการที่กำหนด หรือเงินผลประโยชน์ไม่ตกไปถึงมือนักเรียนจริงๆ ก็จะตั้งกรรมการดำเนินการทางวินัยต่อไป
ส่วนที่มีผู้วิตกกังวล ว่า ผู้อำนวยการโรงเรียน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน เป็นสามีภรรยากัน และจะมีการช่วยเหลือกันปรับเปลี่ยนบัญชีของโรงเรียน ตนขอยืนยันว่าตนได้จัดเก็บหลักฐานข้อมูลต่างๆ ไว้แล้ว หากจะมีการแก้ไขข้อมูลนั้นคงจะไม่เป็นผล และคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15 วัน จะสรุปผลเสนอไปยังศูนย์ดำรงธรรม เพื่อดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นยังไม่มีการโยกย้ายผู้อำนวยการโรงเรียนออกจากพื้นที่ แต่ขอยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายทั้งผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง ส่วนเรื่องการทุจริตการก่อสร้างปรับปรุงอาคารเรียน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง และจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทางครูผู้ร้องได้ระบุว่า ทางโรงเรียนมีการระดมคนมาทำงานที่ห้องฝ่ายการเงินทั้งกลางวัน และกลางคืนหลังตกเป็นข่าวดัง ซึ่งเป็นสิ่งผิดปกติจากการทำงานทั่วไปของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน จึงอยากวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงตรวจสอบ เนื่องจากเกรงจะมีการช่วยเหลือแก้ไขบัญชีให้ผู้บริหารพ้นผิดจากทั้ง 2 กรณี
จากรณีครูประจำชั้นโรงเรียนในพื้นที่การศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ยื่นหนังสือร้องไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ กรณีผู้อำนวยการของโรงเรียนไม่จ่ายเงินทุนการศึกษาให้แก่เด็กยากจน แต่เรื่องไม่คืบ จนตัดสินใจนำเด็กนักเรียนเข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อตัวแทนสภาทนายความภาค 8 และ สมาคมนักข่าวจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเร่งติดตามช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจนที่กำลังลังเดือดร้อนหนัก
ล่าสุด เช้าวันนี้ (3 พ.ค.) นายชุมพล ศรีสังข์ ผู้อำนวยการสำนักงานพื้นที่เขตการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 และปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์แก่ผู้สื่อข่าว ถึงความคืบหน้ากรณีการร้องเรียนดังกล่าว ว่า จากกรณีการร้องเรียนผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยโศก หมู่ที่ 8 ต.ช้างขวา อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ในเรื่องพฤติกรรมการทุจริตการปรับปรุงโครงการก่อสร้างอาคารโรงเรียน และเรื่อง ยักยอกเงินการศึกษานักเรียนยากจน ที่ร้องผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานีนั้น ขณะนี้ได้รับหนังสือที่ส่งมาจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาแล้ว
และเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้มอบหมายให้ นายธนาวุธ รักษ์หนู รองผู้อำนวยการฯ นายภิญโญ ไม้ทองงาม นิติกร และนายชูศักดิ์ แก้วรุ่ง ฝ่ายแผน ลงพื้นที่สืบหาข้อเท็จจริง โดยเด็กนักเรียนที่ยากจนที่จะได้รับการจัดสรรรับเงินนั้น ทางครอบครัวจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 40,000 บาทต่อปี และผ่านตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ สพฐ.กำหนด นักเรียนในโรงเรียนบ้านห้วยโศก มีนักเรียนผ่านหลักเกณฑ์ได้รับการจัดสรรรับเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน ตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยม ในปีการศึกษา 2557 จำนวน 41 คน เป็นเงิน จำนวน 63,000 บาท ในปีการศึกษา 2558 จำนวน 43 คน เป็นเงิน จำนวน 68,000 บาท และในปีการศึกษา 2559 จำนวน 38 คน เป็นเงิน จำนวน 37,000 บาท รวมทั้ง 3 ปี เป็นยอดเงิน จำนวน 168,000 บาท
โดยข้อมูลในเบื้องต้นพบว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทางโรงเรียนไม่ได้จ่ายเงินสดให้แก่เด็กนักเรียนจริง แต่ทางโรงเรียนก็สามารถนำไปแปรเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้โดยไม่ต้องให้เงินสดแก่เด็กนักเรียน แต่จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของเด็ก และให้เด็กนักเรียนได้รับประโยชน์มากที่สุด ส่วนผลการสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะตรวจสอบ หากพบว่ามีข้อมูลความผิด หรือว่าใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตามระเบียบทางราชการที่กำหนด หรือเงินผลประโยชน์ไม่ตกไปถึงมือนักเรียนจริงๆ ก็จะตั้งกรรมการดำเนินการทางวินัยต่อไป
ส่วนที่มีผู้วิตกกังวล ว่า ผู้อำนวยการโรงเรียน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน เป็นสามีภรรยากัน และจะมีการช่วยเหลือกันปรับเปลี่ยนบัญชีของโรงเรียน ตนขอยืนยันว่าตนได้จัดเก็บหลักฐานข้อมูลต่างๆ ไว้แล้ว หากจะมีการแก้ไขข้อมูลนั้นคงจะไม่เป็นผล และคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15 วัน จะสรุปผลเสนอไปยังศูนย์ดำรงธรรม เพื่อดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นยังไม่มีการโยกย้ายผู้อำนวยการโรงเรียนออกจากพื้นที่ แต่ขอยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายทั้งผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง ส่วนเรื่องการทุจริตการก่อสร้างปรับปรุงอาคารเรียน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง และจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทางครูผู้ร้องได้ระบุว่า ทางโรงเรียนมีการระดมคนมาทำงานที่ห้องฝ่ายการเงินทั้งกลางวัน และกลางคืนหลังตกเป็นข่าวดัง ซึ่งเป็นสิ่งผิดปกติจากการทำงานทั่วไปของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน จึงอยากวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงตรวจสอบ เนื่องจากเกรงจะมีการช่วยเหลือแก้ไขบัญชีให้ผู้บริหารพ้นผิดจากทั้ง 2 กรณี