ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - สองคนร้ายอ้างตัวเป็นตำรวจ ป.ป.ส. ขอตรวจค้นหญิงสาว แต่กลับใช้อาวุธมีดชิงทรัพย์เงินสด 2,000 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 50 สตางค์ และพยายามอุ้มขึ้นรถ โชคดีดิ้นหลุด และหนีมาพบกับ ตชด.ที่ลาดตระเวนผ่านมาพอดี ก่อนออกติดตามจับกุมจนคนร้ายจนมุมทิ้งรถหลบหนี ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทราบตัวแล้ว
วันนี้ (24 เม.ย.) ที่ร้อย ฉก.ตชด 434 อ.จะนะ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 434 อ.จะนะ จ.สงขลา นำโดย ร.ต.อ.ฉลอง บัวทอง ผบ.ร้อย ตชด.434 ร.ต.อ.สมร สิงห์อ้น รอง ผบ.ร้อย ร.ต.อ.ญาณภัทร เพชรทอง รอง ผบ.ร้อย ได้ทำการช่วยเหลือ น.ส.กัญญา โสภาพาน อายุ 36 ปี หลังจากที่ถูกชาย 2 คน อายุประมาณ 30-40 ปี อ้างเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติด ขับรถยนต์กระบะอีซูซุ ตอนครึ่ง สีฟ้าเทา หมายเลขทะเบียน ผจ 1440 สงขลา ขับตามประกบ และเรียกตรวจค้น แต่กลับใช้อาวุธมีดจี้บังคับ และกระชากตัวล้วงเอาเงินสด 2,000 บาทและสร้อยคอทองคำหนัก 50 สตางค์ 1 เส้น และพยายามอุ้มตัวขึ้นรถกระบะ และขโมยรถจักรยานยนต์ด้วย
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อช่วง 5 ทุ่ม เมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) บนถนนสายจะนะ-นาทวี บ้านคู หมู่ 1 ต.คู อ.จะนะ จ.สงขลา แต่โชคดีที่เธอดิ้นหลุด และหนีมาได้ และยิ่งโชคดีเพราะขณะวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตได้มาพบกับเจ้าหน้าที่ ตชด.ชุดนี้ที่ลาดตระเวนผ่านมาพอดี และให้การช่วยเหลือเอาไว้ พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง และเจ้าหน้าที่ได้ขับรถติดตามคนร้ายจนทันก่อนทิ้งรถกระบะหลบหนีบริเวณริมถนนเลียบคลองชลประทาน หน้าศูนย์ปรึกษาปอเนาะโคกประดู่ หมู่1 ต.คู อ.จะนะ เจ้าหน้าที่จึงยึดรถเอาไว้พร้อมโทรศัพท์มือถืออีก 1 เครื่อง
น.ส.กัญญา เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ช่วงเกิดเหตุได้ขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านพักเพียงลำพัง เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุได้มีคนร้าย 2 คน ขับรถกระบะปาดหน้าให้หยุด แล้วหนึ่งในคนร้ายซึ่งใช้ผ้าคาดหน้าครึ่งหน้า ได้ลงจากรถมากระชากตัวขอตรวจค้น บอกว่าเป็นตำรวจ ป.ป.ส. แต่กลับใช้อาวุธมีดจี้บังคับเอาเงินสด 2,000 บาท และสร้อยคอ 50 สตางค์ และยังพยายามจับตัวขึ้นรถแต่ดิ้นหลุดมาได้ และรีบวิ่งมาขอความช่วยเหลือรถที่ผ่านมา กระทั่งพบรถของ ตชด.ผ่านมาพอดี
ด้าน ร.ต.อ.สมร สิงห์อ้น รอง ผบ.ร้อย หน่วยเฉพาะกิน ตชด.434 เปิดเผยว่า ขณะนี้ตำรวจทราบเบาะแสของคนร้ายที่ก่อเหตุทั้งสองคนแล้ว จากการขยายผลรถกระบะที่ยึดได้ พบว่าเป็นรถของแม่ยายของหนึ่งในคนร้ายที่ยืมมา และก่อนหน้านี้ เคยเกิดเหตุในลักษณะนี้มาแล้วครั้งหนึ่งบนเส้นทางเดียวกัน จึงน่าเชื่อว่าคนร้ายน่าจะเป็นรายเดียวกัน