ศูนย์หาดใหญ่ - “พ.ต.ท.” อดีตมือปราบน้ำมันเถื่อนใต้ยังไม่เลิกเดินสายร้องขอความเป็นธรรม จ่อบุกกรุงสานภารกิจขอส่วนแบ่งสินบนรางวัลนำจับอีกครั้ง พร้อมจี้ “บิ๊กตู่” เอาผิดกรมศุลกากร และศุลกากร จ.สตูล ฐานะปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ลั่นก่อนตายอยากเห็นความเป็นธรรมที่แท้จริงเกิดขึ้นในรัฐบาลที่ตั้งปณิธานคืนความสุขให้ประชาชน
วันนี้ (23 เม.ย.) พ.ต.ท.ยงยศ เทียมประชา อดีตข้าราชการเกษียณจากตำแหน่งรอง ผกก.ป.สภ.สุคิริน จ.นราธิวาส ได้ร้องเรียนผ่าน “ศูนย์ข่าวผู้จัดการ-News1 หาดใหญ่” อีกครั้ง เพื่อหวังให้ช่วยส่งผ่านเรื่องราวไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถึงความไม่เป็นธรรมจากที่ตนได้รับเมื่อครั้งเคยปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ จ.สตูล ซึ่งได้ทำการจับกุม และดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ตั้งแต่ปี 2525 และปรากฏว่าแม้เวลานี้การดำเนินคดีจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ตนยังไม่ได้รับเงินสินบนรางวัลตามจำนวนที่ควรจะได้รับตามกฎหมาย
“หลังการร้องเรียนสื่อมวลชนในครั้งนี้ ผมเองก็จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อติดตามความคืบหน้าตามหน่วยงานต่างๆ ที่เคยทำเรื่องร้องเรียนไว้ และที่สำคัญจะไปเดินเรื่องเพื่อขอขยายเวลาในคดีแพ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องต่อเงินสินบนรางวัลนำจับน้ำมันเถื่อนในครั้งนั้นด้วย” พ.ต.ท.ยงยศ กล่าวและเพิ่มเติมว่า
สาเหตุที่ตนต้องดำเนินการร้องเรียนขอความธรรมกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานของรัฐบาล และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เนื่องจากได้ถูกกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนร่วมมือกับข้าราชการบางส่วนในพื้นที่ จ.สตูล ใช้อิทธิพลเตะถ่วงคดีมาตั้งแต่ปี 2525 ระหว่างที่นายทุนน้ำมันเถื่อนต่อสู้คดีตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฎีกา และสุดท้ายศาลฎีกาได้พิพากษาให้ฝ่ายตนชนะคดีตามคำสั่งศาลฎีกาที่ 8857, 8858/2542 โดยให้จำคุกจำเลยที่ 1 คือ เจ้าของเรือ ส่วนน้ำมันเถื่อนและเรือบรรทุกน้ำมันให้ริบเป็นของแผ่นดินไปแล้วนั้น
แต่หลังมีคำพิพากษาจากศาลฎีกาดังกล่าวจนถึงบัดนี้ กรมศุลกากรกลับยังไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลแต่อย่างใด โดยตนเองได้ทำหนังสือทวงถามผลของคดีจากกรมศุลกากรมาโดยตลอด กระทั่งเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2559 กรมศุลกากรได้ทำหนังสือตอบกลับโดยยืนยันว่า ได้มีการสั่งการให้ศุลกากร จ.สตูล ซึ่งเป็นผู้เก็บรักษาของกลาง คือ เรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำ รถบรรทุกน้ำมัน 1 คัน และน้ำมันของกลาง จำนวน 37,800 ลิตร ฟ้องบังคับค่าเสียหายจากนายประกัน เนื่องจากของกลางทั้งหมดศุลกากร จ.สตูล ได้แจ้งว่าหายไปก่อนที่จะมีคำพิพากษาของศาลฎีกา
พ.ต.ท.ยงยศ กล่าวว่า ในหนังสือที่กรมศุลกากรแจ้งให้ตนทราบนั้น ปรากฏว่าของกลางมีเพียงเรือ 2 ลำ คือ เรือฮะเฮง และเรือลักษมี ส่วนรถยนต์บรรทุกน้ำมันไม่มี ทั้งที่ในบันทึกการจับกุม และบันทึกของกลางที่ส่งให้ศุลกากร จ.สตูล เป็นผู้เก็บรักษาเคยระบุว่ามีอยู่ครบ ล่าสุด ตนจึงได้ทำหนังสือทวงถามไปยังศุลกากร จ.สตูล เมื่อเดือน ม.ค.2560 แต่จนถึงบัดนี้ศุลกากร จ.สตูล ยังไม่แจ้งให้ทราบถึงการหายไปของรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนของกลาง ซึ่งตนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความเสียหายต่อรัฐ ไม่ใช่ความเสียหายของตนเองเท่านั้น
“นอกจากนี้แล้ว ยังมีความไม่ชอบมาพากลอีกคือ มูลค่าของเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนที่เป็นของกลางทั้ง 2 ลำ เคยมีการประเมินราคาโดยนายกสมาคมประมง จ.สงขลา ไว้ที่ลำละ 20 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าศุลกากร จ.สตูล กลับตีราคาให้นายประกันในราคาลำละแค่ 1 ล้านกว่าบาท ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่รัฐเช่นกัน และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างแน่นอน โดยทำให้รัฐเสียรายได้จำนวนมหาศาล”
พ.ต.ท.ยงยศ กล่าวว่า ไม่เพียงเท่านั้นในส่วนของน้ำมันเถื่อนของกลางที่ศุลกากร จ.สตูล ได้ขายไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2543 ในราคาลิตรละ 8.73 บาท ทั้งที่ในขณะนั้นมีการเช็กราคาที่เป็นจริงกลับอยู่ที่ลิตรละ 12.62 บาท และทางกรมศุลกากรก็ไม่ได้แจ้งว่าเงินที่ได้จากการขายน้ำมันเถื่อนของกลางอยู่ที่ไหน ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.การให้บำเหน็จในการปราบปราบผู้กระทำผิด พ.ศ.2489 ที่ระบุว่าเงินสินบน หรือรางวัลที่เบิกถอนไปจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิควรได้นั้น ถ้าผู้มีสิทธิอันควรได้รับไม่มาขอรับไป ให้รีบนำส่งคืนกระทรวงการคลัง คลังจังหวัด หรือคลังอำเภอในประเภทเดิมให้เสร็จไป ห้ามมิให้เก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน นับแต่วันรับเงินไปจากกระทรวงการคลัง คลังจังหวัด หรือคลังอำเภอ
ตนจึงขอร้องทุกข์กล่าวโทษทั้งกรมศุลกากร และศุลกากร จ.สตูล ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลฎีกา และมีความผิดที่ทำให้ของกลางหายไป รวมทั้งไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.เงินค่าขายของกลางและให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้ทำความผิด รวมทั้งมีความพยายามในการถ่วงคดีให้เกิดความล่าช้า อันมีลักษณะของการช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ซึ่งทำให้รัฐเป็นผู้เสียหายอย่างร้ายแรง เพื่อให้เรื่องราวทราบถึงท่านนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. นำไปสู่การดำเนินการต่อกรมศุลกากร และศุลกากร จ.สตูล ด้วย
“ก่อนที่ผมจะตาย ผมอยากเป็นความเป็นธรรมที่แท้จริงเกิดขึ้นในสังคมไทยอีกสักครั้งครับ โดยเฉพาะในรัฐบาลที่ตั้งปณิธานคืนความสุขให้กับประชาชน” พ.ต.ท.ยงยศกล่าวตบท้าย