สุราษฎร์ธานี - กลุ่มชาวสวนยางในอำเภอพนมจังหวัดสุราษฎร์ธานีรวมตัวกันชูป้ายผ่านสื่อ ขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยเหลือ หลังจากเจ้าหน้าที่อุทยานคลองพนมใช้มาตรา 22 บุกโค่นต้นยางที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปี ถึงกว่า 30 ปี ในพื้นที่อุทยานประกาศเขตทับที่ทำกินของชาวบ้านและกำลังรอการพิสูจน์สิทธิ จนสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านเป็นบริเวณกว้าง

เมื่อเวลา 07.00น.วันนี้ ( 18 มีนาคม 2560) นายวาสุเทพ เพชรขุ้ม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 บ้านสาคลี่ ต.พนม อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี น้องชาย วรพจน์ เพชรขุ้ม นักมวยทีมชาติไทยชื่อดัง ได้นำผู้สื่อข่าวเข้าไปดูแปลงสวนยางพาราของนายนุษร อักษรเภรีย์ อายุ 50 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติคลองพนมใช้มาตรา 22 บุกตัดโค่นไปจำนวน 18 ไร่ โดยชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จำนวนมากเดินทางไปให้กำลังใจและชูป้ายเรียกร้องขอร้องให้ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีส่งเจ้าหน้าที่ที่เป็นกลางเข้ามาตรวจสอบดูแลให้ความช่วยเหลือเป็นการด่วน หลังจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติคลองพนมใช้อำนาจตัดโค่นต้นยางที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีไปจนถึง 30 กว่าปีทิ้ง และห้ามเข้าทำไปทำกิน

ซึ่งนายนุษร เจ้าของสวน กล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดของพ่อและแม่ที่ทิ้งไว้ให้ตนทำกินจำนวน 18 ไร่โดยมีต้นยางที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ในพื้นที่เป็นเครื่องยืนยันว่าได้มีการทำกินมาก่อน ส่วนต้นยางที่มีอายุประมาณ 6 ปีนั้น ตนได้โค่นต้นยางเก่าอายุมากกว่า 30 ปี ที่หมดสภาพการให้น้ำยางทิ้งและปลูกใหม่ขึ้นทดแทนของเก่าพร้อมปลูก กล้วยหอม กล้วยน้ำหว้า แซมในร่องยาง เพื่อเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัวตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธุ์ 2560 ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่อุทยานฯได้เข้ามาตัดโคล่นต้นยางทั้งหมดทิ้งโดยระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่เขตอุทยานฯซึ่งการกระทำดังกล่าวของนายนุษร เป็นการกระทำผิดเงื่อนไขของอุทยานในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกยางใหม่ทดแทนยางเก่า ถึงแม้จะอยู่ในระหว่างการพิสูจน์สิทธิก็ตาม จึงต้องตรวจยึดกลับมาเป็นของรัฐและห้ามเข้าทำกินในพื้นที่

นายนุษร ยังระบุว่า ตลอดเวลาไม่ทราบว่าพื้นที่ที่พ่อแม่ทำกินมานานกว่า 50 ปี จะอยู่ในเขตอุทยานฯ และ ในวันที่เจ้าหน้าที่มาดำเนินการก็ได้นำหนังสือมายืนยันว่าจะตัดเฉพาะต้นเล็ก แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ตัดโคล่นต้นยางขนาดใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 30 ปี และมีเส้นผ่าสูญกลางประมาณ 30 ซม.รวมไปด้วยถึง 1,800 ต้น พร้อมมีคำสั่งไม่ให้ตนเข้าทำกินในพื้นที่ ซึ่งคำสั่งดังทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ไม่มีที่ทำกินไม่มีรายได้ ลูก 2 คนที่กำลังเรียนต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยรับจ้างหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งเวลานี้ตนหมดกำลังใจไม่มีทางออกจึงต้องวอนนายกรัฐมนตรีส่งคนที่เป็นกลางลงมาดูแลให้ความเป็นธรรมต่อครอบครัวตนและชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่การประกาศเขตทับที่ทำกินของชาวบ้านอย่างเร่งด่วน ก่อนที่ชาวบ้านจะเดือดร้อนไปมากกว่านี้

ด้านนายวาสุเทพ ผู้ใหญ่บ้านได้กล่าวว่า ชาวบ้านทำกินอยู่ในพื้นที่มานานก่อนการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติคลองพนม ต่อมาทางอุทยานฯได้ประกาศเขตทับที่ทำกินของชาวบ้านจำนวนหลายพันไร่ในพื้นที่ 3 ตำบล ประกอบด้วย ตำบลพนม ตำบลพลูเถื่อนและตำบลคลองศก ส่วนในด้านการพิสูจน์สิทธินั้นทางผู้นำชุมชนได้นำบัญชีรายชื่อส่งให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติคลองพนมเพื่อดำเนินการพิสูจน์สิทธิและขอเพิกถอนจากเขตอุทยานขณะนี้ยังไม่คืบหน้า ถึงแม้จะมีการติดตามอย่างต่อเนื่องก็ยังไม่มีคำตอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ
เมื่อเวลา 07.00น.วันนี้ ( 18 มีนาคม 2560) นายวาสุเทพ เพชรขุ้ม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 บ้านสาคลี่ ต.พนม อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี น้องชาย วรพจน์ เพชรขุ้ม นักมวยทีมชาติไทยชื่อดัง ได้นำผู้สื่อข่าวเข้าไปดูแปลงสวนยางพาราของนายนุษร อักษรเภรีย์ อายุ 50 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติคลองพนมใช้มาตรา 22 บุกตัดโค่นไปจำนวน 18 ไร่ โดยชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จำนวนมากเดินทางไปให้กำลังใจและชูป้ายเรียกร้องขอร้องให้ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีส่งเจ้าหน้าที่ที่เป็นกลางเข้ามาตรวจสอบดูแลให้ความช่วยเหลือเป็นการด่วน หลังจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติคลองพนมใช้อำนาจตัดโค่นต้นยางที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีไปจนถึง 30 กว่าปีทิ้ง และห้ามเข้าทำไปทำกิน
ซึ่งนายนุษร เจ้าของสวน กล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดของพ่อและแม่ที่ทิ้งไว้ให้ตนทำกินจำนวน 18 ไร่โดยมีต้นยางที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ในพื้นที่เป็นเครื่องยืนยันว่าได้มีการทำกินมาก่อน ส่วนต้นยางที่มีอายุประมาณ 6 ปีนั้น ตนได้โค่นต้นยางเก่าอายุมากกว่า 30 ปี ที่หมดสภาพการให้น้ำยางทิ้งและปลูกใหม่ขึ้นทดแทนของเก่าพร้อมปลูก กล้วยหอม กล้วยน้ำหว้า แซมในร่องยาง เพื่อเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัวตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธุ์ 2560 ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่อุทยานฯได้เข้ามาตัดโคล่นต้นยางทั้งหมดทิ้งโดยระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่เขตอุทยานฯซึ่งการกระทำดังกล่าวของนายนุษร เป็นการกระทำผิดเงื่อนไขของอุทยานในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกยางใหม่ทดแทนยางเก่า ถึงแม้จะอยู่ในระหว่างการพิสูจน์สิทธิก็ตาม จึงต้องตรวจยึดกลับมาเป็นของรัฐและห้ามเข้าทำกินในพื้นที่
นายนุษร ยังระบุว่า ตลอดเวลาไม่ทราบว่าพื้นที่ที่พ่อแม่ทำกินมานานกว่า 50 ปี จะอยู่ในเขตอุทยานฯ และ ในวันที่เจ้าหน้าที่มาดำเนินการก็ได้นำหนังสือมายืนยันว่าจะตัดเฉพาะต้นเล็ก แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ตัดโคล่นต้นยางขนาดใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 30 ปี และมีเส้นผ่าสูญกลางประมาณ 30 ซม.รวมไปด้วยถึง 1,800 ต้น พร้อมมีคำสั่งไม่ให้ตนเข้าทำกินในพื้นที่ ซึ่งคำสั่งดังทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ไม่มีที่ทำกินไม่มีรายได้ ลูก 2 คนที่กำลังเรียนต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยรับจ้างหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งเวลานี้ตนหมดกำลังใจไม่มีทางออกจึงต้องวอนนายกรัฐมนตรีส่งคนที่เป็นกลางลงมาดูแลให้ความเป็นธรรมต่อครอบครัวตนและชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่การประกาศเขตทับที่ทำกินของชาวบ้านอย่างเร่งด่วน ก่อนที่ชาวบ้านจะเดือดร้อนไปมากกว่านี้
ด้านนายวาสุเทพ ผู้ใหญ่บ้านได้กล่าวว่า ชาวบ้านทำกินอยู่ในพื้นที่มานานก่อนการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติคลองพนม ต่อมาทางอุทยานฯได้ประกาศเขตทับที่ทำกินของชาวบ้านจำนวนหลายพันไร่ในพื้นที่ 3 ตำบล ประกอบด้วย ตำบลพนม ตำบลพลูเถื่อนและตำบลคลองศก ส่วนในด้านการพิสูจน์สิทธินั้นทางผู้นำชุมชนได้นำบัญชีรายชื่อส่งให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติคลองพนมเพื่อดำเนินการพิสูจน์สิทธิและขอเพิกถอนจากเขตอุทยานขณะนี้ยังไม่คืบหน้า ถึงแม้จะมีการติดตามอย่างต่อเนื่องก็ยังไม่มีคำตอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ