xs
xsm
sm
md
lg

ไขคำตอบไฟใต้ที่ “บิ๊กตู่” รำพึงรำพัน “ทำอะไรไปมากมาย แต่ทำไมคนจึงมองไม่เห็น” / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
------------------------------------------------------------------------------------------------
 
สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ วันนี้ยังคงไม่ได้สามารถ “ก้าวข้าม ทั้งในด้านของความรุนแรง และในด้านของความขัดแย้ง และแม้แต่เรื่องการ “พูดคุยสันติสุข เอาเข้าจริงๆ วันนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่จะบอกเหตุว่า การพูดคุยจะเป็นแนวทางที่ประสบความสำเร็จในการ “ดับไฟใต้ อย่างที่คาดหวัง

โดยเฉพาะ ณ วันนี้มีควันหลงจากเรื่องที่ “คนส่วนน้อยในพื้นที่คือ “กลุ่มไทยพุทธใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ออกมาเคลื่อนไหว โดยไปชุมนุมกันที่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) หลังจากที่ ขบวนการบีอาร์เอ็น ปฏิบัติการตอบโต้โต๊ะพูดคุยสันติสุข ด้วยการจัดตั้ง “พื้นที่ปลอดภัย” หรือ “เซฟตี้โซน ด้วยการสังหารโหดคนไทยพุทธ 2 ครอบครัว ในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา และที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
 
ข้อเสนอของตัวแทนชาวไทยพุทธที่นำเสนอถึง 15 ข้อ ก่อนที่ ศอ.บต.จะพยายามทำให้ “ดูดี ด้วยการตะล่อมให้ลดความแข็งกร้าวลงเหลือเพียง 7 ข้อ ซึ่งข้อเรียกร้องของกลุ่มคนไทยพุทธในครั้งนี้ก็กลายเป็นการเพิ่มความขัดแย้งในพื้นที่เป็นการ “ถ่างช่องว่าง” ของความไม่เข้าใจ ความหวาดระแวง ระหว่างผู้ที่นับถือศาสนาต่างกันให้กว้างมากขึ้น
 
สังเกตได้จากสื่อสังคมออนไลน์ในพื้นที่ ซึ่งเป็นกลุ่ม “คนส่วนมาก” ในพื้นที่แสดงความคิดเห็นแบบ “ถล่ม” ต่อข้องเรียกร้องของคนไทยพุทธ ชนิดที่ใช้ “ความรู้สึก” มากกว่า “เหตุผล” เป็นการตัดสิน
 
ในขณะที่ในพื้นที่ยังมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นทุกวัน เพียงแต่เปลี่ยนจาก “คาร์บอมบ์หรือ “ระเบิดแสวงเครื่อง” ไปเป็น “ยิงรายวัน” และคนตายถ้าสังเกตให้ดีจะเป็น “มุสลิม มากกว่า “ไทยพุทธเสียด้วยซ้ำ

ซึ่งประเด็นนี้จะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องมีคำตอบที่ชัดเจนของการตายรายวันของมุสลิม ถึงสาเหตุของการตายว่า มาจากเรื่องขัดแย้งส่วนตัว เรื่องการเมือง เรื่องยาเสพติด หรือมาจากอะไร
 
เพราะหากมีแต่ “ตายโดยที่ไม่มีสาเหตุ” โดยที่คนตายมีประวัติของการเป็น “แนวร่วม เพียงอย่างเดียว อาจจะถูกบีอาร์เอ็นนำไป “ปลุกระดม” กับคนในพื้นที่ได้ว่า  เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ
 
ส่วนประเด็นปัญหาข้อเสนอของกลุ่มไทยพุทธในพื้นที่ ซึ่งต้องให้ความสนใจ และต้องทำความเข้าใจอย่างยิ่งยวด เพราะนอกจากเรื่องการขอให้มีการยกเลิก “สิทธิพิเศษ” ของคนมุสลิมในทุกด้านแล้ว ยังมีเรื่องให้เลิกนโยบาย “พาคนกลับบ้าน และเรื่อง “การพูดคุยสันติสุขรวมอยู่ด้วย
 
จากข้อเสนอของกลุ่มคนไทยพุทธในพื้นที่ในทุกข้อเรียกร้อง สิ่งที่ต้องตั้งข้อสังเกตก็คือ ถ้าข้อเรียกร้องทั้งหมดเป็นข้อเรียกร้องที่มาจาก “ความบริสุทธิ์ใจไม่ได้มาจาก “ความคับแค้นที่สั่งสมจากความรู้สึกที่ “ถูกกระทำและด้วยความรู้สึกที่ “น้อยเนื้อต่ำใจ” ในเรื่อง “สิทธิพิเศษที่ไม่ได้รับเหมือนกับมุสลิมในพื้นที่
 
นโยบาย “พาคนกลับบ้านเป็นนโยบายหนึ่งในหลายๆ นโยบายในการที่จะ “สลายพลังของบีอาร์เอ็น ซึ่งจริงๆ แล้วการพยายามที่จะนำเอา “แกนนำและ “แนวร่วม กลับบ้าน เพื่อลดจำนวนของแนวร่วมให้น้อยลงทำกันมาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ยุคของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีต ผบ.ทบ. เป็นต้นมา ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นในยุคที่ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 
 
เพราะเชื่อว่าการดึงเอากองกำลังของฝ่ายตรงข้ามให้มาอยู่กับรัฐ หรือเลิกการเป็นแนวร่วมจะเป็นการทำลายความเข้มแข็งของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
 
จึงมีคำถามว่า ในเมื่อทำกันมานานนม ทำไม่จึงไม่ได้ผล ทำไมการลดจำนวนคนของบีอาร์เอ็น จึงไม่ได้ทำให้ บีอาร์เอ็นขาดแคลนกำลังคนในการก่อการร้าย
 
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากวิธีการพาคนกลับบ้าน คนที่ถูกพากลับส่วนใหญ่เป็นคนที่ถูกบีอาร์เอ็น “ปลดระวาง ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งหมดประโยชน์ ทั้งที่รู้ตัวว่าถูกหลอก ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ในการแบ่งแยกดินแดน
 
และส่วนหนึ่ง “เสียลับ” บีอาร์เอ็นจึงต้องการให้ “กลับบ้าน” เพื่อทำหน้าที่อย่างอื่นแทน
 
และที่สำคัญหลายคนที่ถูกพากลับบ้านเป็นเพียง “ละคร” ฉากหนึ่งเพื่อ “แหกตา” ผู้ใหญ่ในส่วนกลาง
 
ดังนั้น การที่มี “คนร้าย” ถูกนำกลับบ้าน 3-5 พันคน แต่สถานการณ์ก่อการร้ายไม่ได้ลดลง จึงมาจากเหตุฉะนี้
 
อีกประเด็นที่คนไทยพุทธคัดค้านไม่เห็นด้วยในเรื่องพูดคุยสันติสุข เนื่องจากคนไทยพุทธในพื้นที่ไม่เชื่อว่าการพูดคุยจะประสบความสำเร็จ และเห็นว่าการพูดคุยที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้า และเป็นไปได้ยาก เพราะเห็นถึง “ความไม่จริงใจ” ของการพูดคุยมาตั้งแต่ต้น ซึ่งมีข้อสำคัญจะสังเกตว่า กลุ่มไทยพุทธส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยต่อการพูดคุยมาตั้งแต่ต้น
 
ในประเด็นที่กลุ่มคนไทยพุทธนำเสนอต่อ ศอ.บต. ทำให้เห็นได้ชัดใน 2 ประเด็นคือ
 
ประเด็นแรก กลุ่มไทยพุทธในพื้นที่ “รู้” และ “เห็น ถึงความไม่ชอบมาพากลของทั้งเรื่อง “พาคนกลับบ้าน” และเรื่อง “พูดคุยสันติสุข” จึงให้เลิกนโยบายทั้ง 2 อย่าง
 
ประเด็นที่ 2 กลุ่มคนไทยพุทธเป็นกลุ่มที่ถูก “ละเลยจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต. จึงไม่มีความรู้และความเข้าใจในนโยบายพาคนกลับบ้าน และในเรื่องพูดคุยสันติสุข จึงไม่สนับสนุนนโยบายที่รัฐบาลกล่าวว่าเป็น “นโยบายดับไฟใต้ ที่ได้ผล
 
จากทั้ง 2 ประเด็นที่กลุ่มไทยพุทธออกมาคัดค้าน จึงทำให้ผู้นำหน่วยในพื้นที่ต่างออกอาการ “ควันออกหู และมีความรู้สึกว่าการที่หน่วยงานในพื้นที่มีนโยบายต่างๆ กับกลุ่มคนไทยพุทธ ทำไมจึงมองไม่เห็น แค่คน 2 ครอบครัวเสียชีวิต เรื่องดีๆ ที่เคยทำกันมาสูญหายไปหมดเลยหรือไร
 
ดังนั้น การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ออกมาพูดในทำนองมีคนกลุ่มหนึ่งในพื้นที่สร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิดขึ้น จึงน่าจะเป็นข้อมูลจาก “บุคคล” บางคนในพื้นที่ เพื่อป้องกันตำแหน่ง และสร้างความสำคัญให้แก่ตนเอง
 
วันนี้สิ่งที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าต้องดำเนินการคือ การสร้างความเข้าใจในโครงการต่างๆ ให้แก่กลุ่มไทยพุทธที่ออกมาเคลื่อนไหวให้ได้รับทราบอย่างทั่วถึง และต้องสลายการยืนอยู่คนละขั้ว ละฝั่ง ระหว่างคนไทยพุทธกับมุสลิม
 
ซึ่งสังเกตได้จาก “ปฏิกิริยา ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ที่รู้สึกได้ว่า “ช่องว่าง” ที่ห่างอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งห่างออกไป จนวันหนึ่งอย่าว่าแต่จะ “ก้าวข้ามแม้แต่จะ “กระโดด ก็ไม่พ้น
 
สิ่งที่สำคัญที่สุดในวันนี้ที่ทั้งไทยพุทธ และมุสลิมต่างมีความคิดในทิศทางเดียวกันคือ “ความคลางแคลง” ในโครงการต่างๆ ของรัฐที่ขาด “ความโปร่งใส” ทุกโครงการที่เรียกว่าทำเพื่อดับไฟใต้ ทว่าต่างมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่
 
เช่น คำถามถึง “โครงการมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนว่าวันนี้มีหน่วยงานไหน บุคคลไหนบ้างที่กำลัง “มั่นคง มั่งคั่ง กับโครงการดังกล่าว “ประชาชน” หรือ “ผู้รับเหมา” แถมมีการเปิดโปงถึง “หัวคิวที่มีการจ่ายให้แก่ใครต่อใคร มีการนำหลักฐานที่ “บ่งชี้ ว่าบริษัทผู้รับเหมาคนไหนมีความสัมพันธ์กับใคร คนไหน หรือในหน่วยงานไหน
 
และแม้แต่การนำเอาเรื่อง “เงินโอที” ของ ศอ.บต.จำนวน 34 ล้านกว่าบาทในปี 2559 มาเปิดโปงในขณะนี้ ย่อมเป็นความพยายามของ “คนในพื้นที่” ในการชี้ให้เห็นว่า ในการดับไฟใต้นั้นสาเหตุที่ไฟยังไม่ดับ เป็นเพราะทุกโครงการที่ถูกคิด และออกแบบมาล้วนแต่มีผลประโยชน์ “ติดปลายนวมของหน่วยงาน หรือของหัวหน้าหน่วยอยู่ด้วยทั้งสิ้น
 
การดับไฟใต้ถ้าคนในพื้นที่มีข้อมูล มีความรู้สึก และเชื่อว่ายังมีการ “ค้าสงครามที่ยังมีการ “ค้ากำไร เกิดขึ้น คนในพื้นที่ก็จะไม่ให้ความร่วมมือ เช่นเดียวกับที่ไทยพุทธกลุ่มนี้ออกมาปฏิเสธแนวทางของรัฐบาลในหลายๆ โครงการ
 
เพราะเขาเชื่อว่า มีผลประโยชน์ที่มิชอบแอบแฝงอยู่ และเขาเชื่อว่านโยบายที่ใช้อยู่นั้ คนที่มั่นคง มั่งคั่ง ไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เป็นเพียงความมั่งคั่งของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
 
และคนที่ได้ประโยชน์ และใช้ประโยชน์ในการ “โหมไฟใต้” จากความขัดแย้งของคนในพื้นที่กับหน่วยงานของรัฐก็คือ บีอาร์เอ็น ซึ่งไม่ต้องลงทุน หรือลงแรง แต่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทั้งทุน และกำไรในเวลาเดียวกัน
 
ทั้งหมดก็คือที่มาของคำถามที่ว่า “เราได้ทำอะไรไปมากมายแล้ว แต่ทำไมคนในพื้นที่จึงมองไม่เห็น”
 
กำลังโหลดความคิดเห็น