ปัตตานี - “แกนนำสตรีชายแดนใต้” เผยทั้งสองฝ่ายยังพูดความจริงไม่หมด กรณี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน การหยุดดำเนินคดีกลางทาง ทำให้มองว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างตลก
จากกรณีที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน ได้แก่ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ หัวหน้ากลุ่มด้วยใจ และนายสมชาย หอมลออ ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค.59 ได้ถูก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองปัตตานี ข้อหาในความผิดร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
ล่าสุด วันนี้ (8 มี.ค.) นางคอลีเยาะ หะหลี แกนนำสตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าว หลังเดินทางลงพื้นที่ ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เพื่อนำถุงยังชีพไปมอบให้แก่ผู้สูงอายุว่า การถอนฟ้องครั้งนี้ทำให้สังคมมองภาพรวมต่อสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ทั้งสองฝ่ายยังพูดความจริงไม่หมด การที่หยุดดำเนินคดีกลางทางทำให้มองว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างตลกมาก เพราะทำให้สังคมไม่สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้เลย แทนที่จะเดินหน้าไปให้ถึงที่สุด
แต่ถ้ามองในแง่บวกมันก็เป็นสิ่งดี ถ้าทั้งสองฝ่ายตัดสินใจยุติการต่อสู้คดีลง เพราะทั้งสองฝ่ายเราในฐานะประชาชนก็เปรียบเสมือน นักสิทธิมนุษยชนเป็นเหมือนด้ามพร้า ฝ่ายความมั่นคงเองก็เปรียบเสมือนเข่า ถ้ามีการหักด้ามพร้าด้วยเข่า ก็เจ็บเข่า พร้าหักก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ มันเสียทั้งสองฝ่าย เพราะถ้าต้องเปลี่ยนด้ามตลอดก็คงเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้น การที่สองฝ่ายยุติการเอาผิดซึ่งกันและกันมันก็เป็นผลดี แต่ถ้าจะให้มองในเรื่องของการค้นหาความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายควรที่จะกล้าเผชิญหน้า และพูดความจริงทั้งหมด ช่วงที่ตัดสินใจดำเนินคดีนั้น ทั้งสองฝ่ายคิดอย่างไร แล้วมาตัดสินใจหยุดกลางทางเพราะอะไร คือทุกฝ่ายต้องทำความจริงให้ปรากฏ ไม่ใช่หนี หรือปล่อยให้ความจริงมันหายไป โดยเฉพาะการทำงานในพื้นที่ ปัจจุบันที่มีหลายๆ กรณี ที่จำเป็นต้องให้ร่วมกันสร้างความจริงให้ปรากฏ ฝ่ายไหนบิดเบือนข้อมูล ฝ่ายไหนพูดความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น มันต้องชัด ไม่ใช่ปล่อยให้สังคมตั้งข้อสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้น จึงไม่แปลกที่มีชาวบ้านเกิดอาการอึดอัดใจ และรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายควรที่จะมองภาพรวมทั้งหมดต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่านึกอยากจะฟ้องก็ฟ้อง นึกอยากจะถอนฟ้องก็ถอน ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ต่างกับหลายๆ เคสที่ผ่านมา ที่ชาวบ้านสะท้อนออกมาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สิ่งสำคัญที่สุดถามว่าวันนี้ ทั้งสองฝ่ายกำลังคิดอะไร กำลังจะทำอะไร แต่ถ้าเป็นจุดก้าวก้าวแรกในการตัดสิ้นใจร่วมกัน เพื่อจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาในพื้นที่ร่วมกัน ก็ไม่แปลก ถ้าทำงานร่วมกันได้จริงก็จะเป็นผลดี
แต่ถ้าผลของการตัดสินใจครั้งนี้มีวาระอื่น ก็คิดว่ามันคงไม่จบแบบแฮปปี้แน่ๆ เพราะบทบาทของทั้งสองฝ่ายนั้นมองยังไงก็เดินสวนทางกันตลอดอยู่แล้ว ก็แค่ขอความจริงใจในการตัดสินใจยุติการฟ้องดำเนินคดีในครั้งนี้ เห็นด้วยถ้ายุติเพื่อให้เกิดความสันติสุขในพื้นที่ แต่ขอเน้นย้ำในเรื่องของความจริงใจ ให้ทำเพื่อประโยชน์ต่อพี่น้องจริงๆ อย่าทำเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง เพราะถ้ามันเป็นเรื่องของผลประโยชน์นั่นก็หมายถึงทั้งสองฝ่ายกำลังแสดงละครให้ประชาชนดู ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายประชาชน จึงเห็นควรให้สร้างความจริงให้เกิดขึ้น และพูดความจริงทั้งหมด