ตรัง - โลกโซเชียลสนใจคลิปหนูน้อยวัย 4 ขวบ ที่ออกมากล่าวร้องเรียนปัญหาความเดือดร้อนของครอบครัวต่อศูนย์ดำรงธรรมฯ หลังจากผู้เป็นพ่อถูกจับเพราะไปทำอวนรัง ในพื้นที่ ต.ท่าข้าม อ.ปะเหลียน จ.ตรัง
วันนี้ (27 ก.พ.) ภายหลังจากมีการนำคลิปเด็กชายวัย 4 ขวบคนหนึ่ง ไปโพสต์ในโลกโซเชียล กรณีออกมากล่าวร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดตรัง เกี่ยวกับเรื่องปัญหาความเดือดร้อนของครอบครัว แต่ด้วยความที่หนูน้อยยังเป็นเด็กเล็กมาก จึงพูดเร็ว ไม่มีวรรคตอน และจับใจความไม่ค่อยได้ จนทำให้คลิปดังกล่าวมีผู้สนใจแสดงความคิดเห็นเพื่อสอบถามว่า เด็กชายคนดังกล่าวกำลังร้องเรียนถึงเรื่องใด และมีใจความสำคัญอย่างไรนั้น
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดตรัง เพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าว โดย น.ส.ปิยวรรณ ตันติมาภรณ์ ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดตรัง ได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา ด.ช.ชารีพ หยังดี วัย 4 ขวบ ซึ่งเป็นลูกชายของ นายสุธน หยังดี อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 32 หมู่ที่ 6 ต.ท่าข้าม อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ได้เดินทางมาพร้อมกับตัวแทนชาวบ้านใน ต.ท่าข้าม เพื่อยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม และขอให้มีการตรวจสอบการจับกุมของเจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 จ.ตรัง กรณีเข้าทำการรื้อถอนอวนริมตลิ่ง ในพื้นที่บ้านทอนหาร หมู่ที่ 6 ต.ท่าข้าม เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 02.00 น.
โดยชาวบ้านอ้างว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติโดยมิชอบ เพราะไม่ได้เรียกชาวบ้านมาสอบถาม และลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่สำคัญคือ ไม่ได้ทำตามคำสั่งรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 66/2557 ข้อ 2.1 ที่ระบุว่า ไม่ให้มีการกระทำที่สร้างผลกระทบต่อผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ไม่มีที่ทำกิน จนทำให้พวกตนเดือดร้อน หนทางทำมากินถูกตัดขาด และไม่มีรายได้เลี้ยงครอบครัว ซึ่งหลังถูกส่งตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2558 มาตรา 32 วรรค 1 ต่อมา ศาลจังหวัดตรัง ได้ตัดสินลงโทษ นายสุธน และพวก ด้วยการรอลงอาญา 1 ปี และริบของกลางเป็นอวนรัง หรือเฝือกรัง ทั้งนี้ ล่าสุดศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดตรัง กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งต่อเจ้าหน้าที่ และชาวบ้านที่ร้องเรียน
ด้าน นายสุธน หยังดี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีนี้ และเป็นพ่อของ ด.ช.ชารีพ วัย 4 ขวบ กล่าวทั้งน้ำตาว่า กรณีที่ลูกชายได้มีการกล่าวคำร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดตรัง ตามที่มีการนำเสนอในโลกออนไลน์นั้น ตนไม่ได้สอน และการพูดเป็นของเขาเอง เพราะลูกชายทราบและเห็นปัญหามาโดยตลอดว่า หลังจากพ่อถูกจับกุม และไม่ได้ประกอบอาชีพ ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนอย่างหนัก จนขนาดไม่มีเงินให้ลูกชายไปซื้อนม หรือให้ไปโรงเรียน แม้เพียงแค่วันละ 5 บาท อีกทั้งทุกครั้งที่ตนจะต้องเดินทางเพื่อไปยื่นเรื่องเรียกร้องความเป็นธรรม หรือต่อสู้คดี ลูกชายคนนี้ก็จะขอตามไปด้วยทุกครั้ง จึงสามารถพูดทุกอย่างออกมาจากใจของเขาจริงๆ