ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
นับตั้งแต่มีการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ (UN Conference on the Human Environment) ที่กรุงสตอกโฮล์ม ระหว่างวันที่ 5-16 มิถุนายน 2515 ทำให้รัฐไทยได้เปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมตามมา
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ การตราพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2518 และต่อมา ในปี พ.ศ.2535 ก็ได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าวให้เข้มงวดมากขึ้น
ผลที่ตามมาก็คือ การที่รัฐไทยมีคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญก็คือ การบัญญัติในกฎหมายว่าการดำเนินโครงการขนาดใหญ่จะต้องมีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA
ต่อมา รัฐไทยก็กำหนดให้โครงการที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพด้วย หรือที่เรียกว่า EHIA ก่อนการอนุมัติโครงการ โดยการนำกฎหมายสิ่งแวดล้อมจากประเทศที่มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่ก้าวหน้ามาปรับใช้ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา
โดยมีประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า โครงการขนาดใหญ่อะไรบ้างที่ต้อง EIA โครงการอะไรบ้างที่ต้องทำ EHIA เช่น โครงการท่าเทียบเรือน้ำลึก ต้องทำ EIA โครงการเขื่อน โครงการเหมืองแร่ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ต้องทำ EHIA
ที่สำคัญอีกประการก็คือ กระบวนการทำรายงานทั้ง 2 ฉบับ ต้องมีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย ซึ่งเท่ากับว่า กระบวนการจัดทำรายงาน EIA และ EHIA คือกระบวนการการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั่นเอง
ตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว การจัดทำรายงาน EIA แล EHIA ต้องดำเนินการก่อนการตัดสินใจดำเนินโครงการ ขณะที่กระบวนการพิจารณารายงาน จะต้องมีการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการมีคณะกรรมการผู้ชำนาญการ คือ คชก. และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มาจากหลายฝ่าย
ดังนั้น EIA และ EHIA จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะตรวจสอบ หรือ “คาน” กับข้อมูลความเหมาะสมโครงการที่จัดทำโดยเจ้าของโครงการ
แม้ว่ากฎหมายดังกล่าวจะมีเจตนารมณ์ในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และมีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ในทางปฏิบัติของรัฐไทย กระบวนการดังกล่าวกลับถูกบิดเบือนทั้งจากหน่วยงานของรัฐ นักการเมือง ทุนชาติ ทุนข้ามชาติ และทุนต่างชาติ นั่นก็คือ
ประการแรก เห็นได้ชัดเจนว่ารายงานทั้ง EIA และ EHIA จัดทำขึ้นเพื่อให้โครงการผ่านการพิจารณาอนุมัติตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนดมากกว่ามุ่งที่จะแสดงให้เห็นผลกระทบที่แท้จริง สถานะของรายงานเหล่านั้นจึงไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย แต่เป็นเพียงตรายางให้แก่โครงการ
ดังจะเห็นได้ว่าแทบจะนับได้ว่ามีรายงานเพียงไม่กี่ฉบับที่ไม่ผ่านการพิจารณาทั้งจากสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ประการที่สอง เห็นได้ชัดว่า ทั้งรายงาน EIA และ EHIA ทำโดยเจ้าของโครงการว่าจ้างบรรดาที่ปรึกษาที่มีทั้งบริษัทเอกชน และสถาบันการศึกษาที่ขึ้นทะเบียนต่อสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม การจัดทำรายงานจึงไม่ได้อิสระ แต่ขึ้นกับสัญญาจ้าง เช่น หากรายงานผ่านการพิจารณาจึงจะได้รับเงินงวดสุดท้าย
ดังนั้น ถึงอย่างไรบรรดาที่ปรึกษาเหล่านี้ก็ต้องเขียนเพื่อให้รายงานผ่าน เพราะหากรายงานไม่ผ่านก็จะไม่ได้เงินก้อนสุดท้าย ซึ่งเงินก้อนนี้มีจำนวนมหาศาล และนั่นก็นำไปสู่หายนะของความรู้ที่จะนำมาใช้ในการตัดสินใจของรัฐ
ประการที่สาม ในปัจจุบัน EIA และ EHIA ได้ถูกทำให้เป็นธุรกิจที่ปรึกษาซึ่งสร้างรายได้จำนวนมหาศาลให้แก่บรรดาบริษัทที่ปรึกษา และสถาบันการศึกษา และแม้ว่ามีการตรวจพบว่ารายงานที่บรรดาบริษัทที่ปรึกษา และสถาบันการศึกษามีการจัดทำรายงานเท็จ หรือหมกเม็ด ไปจนถึงการประเมินผลกระทบต่ำกว่าความเป็นจริง และแผนการแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมไม่สอดคล้องต่อสาเหตุของปัญหา
ไม่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ แต่เหล่าธุรกิจที่ปรึกษาก็ไม่เคยถูกลงโทษ ซึ่งเราจะเห็นได้จากหลายกิจการที่มีการจัดทำ EIA หรือ EHIA แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน เช่น กรณีเหมืองทองคำ จ.เลย และ จ.พิจิตร เป็นต้น
รายงานเท็จเหล่านั้นส่วนหนึ่งยังจัดทำโดยนักวิชาการในสถาบันการศึกษา ซึ่งผิดจรรยาบรรณของนักวิจัย/นักวิชาการ แต่ก็ไม่เคยมีการลงโทษจากสถาบันต้นสังกัด
ปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผมจึงเรียกบรรดานักวิชาการที่ทำ EIA และ EHIA ว่าเป็น “นักวิชาการเครื่องซักผ้า” ที่ฟอกโครงการให้สะอาดเท่านั้น
ประการที่สี่ นับวันการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมกลับขาดกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น จนอาจจะเรียกได้ว่า ไม่มีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนอีกต่อไป ปัญหานี้ส่วนหนึ่งมาจากความล้มเหลวของการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น
ซึ่งประเด็นสุดท้าย (ผมจะเขียนถึงในตอนต่อไป) การแทรกแซงของนักการเมือง และอีกส่วนหนึ่งมาจากการอ่อนแอของสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมเองด้วยที่ไม่ได้เข้มงวดต่อประเด็นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานในแต่ละด้านที่ขาดความโปร่งใส และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน
ยิ่งไปกว่านั้น บางกรณีประชาชนยังได้วิพากษ์วิจารณ์ผู้บริหารในสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมว่า แทนที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบรายงานแต่กลับปกป้องรายงาน ดังกรณีของท่าเทียบเรือเชฟรอน ที่นครศรีธรรมราช เป็นต้น
ประการที่ห้า แม้กฎหมายกำหนดชัดว่าต้องทำรายงาน EIA หรือ EHIA เพื่อนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจของรัฐ แต่กลับปรากฏว่า ผู้ที่มาเป็นรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ ก็มักจะเป็นผู้ละเมิดกฎหมายข้อนี้เสียเอง เช่น คณะรัฐมนตรีมีการอนุมัติโครงการและงบประมาณก่อนที่จะมีการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ดังกรณีของเขื่อนแม่วงก์ เป็นต้น แม้ว่าตามกฎหมายแล้ว นายกรัฐมนตรี ก็คือ ประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
การที่รัฐบาลที่มีอำนาจในการตัดสินใจพร่ำพูดแต่โรงไฟฟ้าถ่านหินว่าสะอาด ต้องสร้างให้ได้ หรือข้าราชการที่มีอำนาจในพื้นที่ผลักดันเขื่อนท่าแซะ โดยเร่งสรุปข้อมูลเพื่อเสนอรัฐบาลให้สร้างไวๆ รวมทั้งใช้อำนาจพิเศษยกเว้นการทำ EIA และ EHIA ก็คือส่วนหนึ่งของการทำลายหลักการการพิจารณาโครงการขนาดใหญ่ที่จะต้องใช้ความรู้ที่รอบด้านในการตัดสินใจ
ความล้มเหลวของการจัดทำรายงาน EIA และ EHIA ดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญก็คือ ชาวบ้าน และนักสิ่งแวดล้อมต้องลุกขึ้นมาประท้วงการจัดทำรายงาน EIA หรือ EHIA ซึ่งภาพเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของ EIA และ EHIA ที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ซึ่งเราไม่มีทางที่จะเห็นภาพเช่นนี้ในประเทศที่เราไปเอากฎหมายเขามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือแคนาดา ทั้งนี้ก็เพราะการจัดทำรายงาน EIA และ EHIA ของไทยถูกทำให้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐ และทุนในการแย่งชิงทรัพยากรไปจากประชาชนนั่นเอง
ความล้มเหลวของการจัดทำรายงาน EIA และ EHIA จึงทำให้เกิด “หลุมดำ” ของความรู้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ ซึ่งนำไปสู่การเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐ หรือทุนที่เป็นเจ้าของโครงการกับชาวบ้าน และประชาชนมากยิ่งขึ้น และแม้ว่าจะมีการทำ EIA และ EHIA ใหม่อีกกี่ร้อยฉบับก็ตาม ความขัดแย้งก็ไม่มีหมดสิ้นไปได้ เพราะหลุมดำนี้มาจากการทำให้ EIA และ EHIA ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์
ความท้าทายของสังคมไทยทุกภาคส่วนรวมถึงรัฐไทยด้วยก็คือ เราจะหลุดไปจากวงจรอุบาทว์ที่ทำให้เกิด “หลุมดำ” ของความรู้ได้อย่างไร?
อ่านต่อตอนที่ 2